บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เสน่ห์แห่งผ้าเช็ดหน้า



ศิลปจากผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว


          ถ้าพูดถึง "ผ้าเช็ดหน้า"  อาจจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยสักหน่อย  สำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะการใช้ผ้าเช็ดหน้า จะต้องเสียเวลาซักรีดเพื่อนำมาใช้ใหม่   ไม่สดวกสบายเหมือนการใช้กระดาษทิชชู่ซึ่งใช้แล้วทิ้งเลย   คนยุคปัจจุบันจึงมักจะพกทิชชู่ติดกระเป๋าแทนผ้าเช็ดหน้ากันไปเสียหมด

          แต่สำหรับคนรุ่นเก่า เท่าที่ข้าพเจ้าจำความได้  ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย  จะมีผ้าเช็ดหน้าติดตัวกันทุกคน  เพราะผ้าเช็ดหน้าคือสิ่งจำเป็นที่สามารถใช้ได้สารพัดประโยชน์  ไม่ว่าจะเป็นการซับเหงื่อ  ซับน้ำตา หรือเช็ดปาก  ยิ่งไปกว่านั้น  ข้าพเจ้าเห็นบางคนใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเงินทองให้ลูกหลาน ใช้ห่อของมีค่าเพื่อเก็บรักษา  หรือพกติดตัวที่ชายพกบ้าง  เหน็บเอวบ้าง   ผ้าเช็ดหน้าจึงเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์และจำเป็น  ในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ก็ยังเคยใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเงิน

          แต่ผ้าเช็ดหน้ายังมีประโยชน์มากกว่านั้น   เพราะผ้าเช็ดหน้าสามารถนำมาสร้างสรรค์งานศิลปะได้  นับเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ใครจะคิดว่าผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง สามารถนำมาม้วน  มาพับ  มาบิด แล้วเป็น โน่นนั่นนี่ได้  ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินมากทีเดียว  และอาจเป็นเงินได้  หากใครจะยึดเป็นงานอดิเรก หรือ อาชีพ

          ผ้าเช็ดหน้า จึงมีทั้งประโยชน์ และมีเสน่ห์ที่น่าหลงไหล  ข้าพเจ้าเองไม่เคยคิดเลยว่า ตนเองจะกลายเป็นคนหลงไหลผ้าเช็ดหน้าได้อย่างมากมาย  จนกระทั่งมีโอกาสได้พบกับภรรยาของคุณหมอท่านหนึ่ง ที่เคยเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดเพชรบุรี  เธอผู้นั้นคือ อาจารย์อรสา  ผลดี  ผู้มากไปด้วยความสามารถ ในการดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เป็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างหลากหลายจนน่าทึ่ง

          "ศิลปะนี้ พี่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณแม่ ที่เป็นคุณข้าหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6  คุณแม่มีความสามารถมากมาย  ทั้งสวยทั้งเก่ง  พี่นี่ไม่ได้ครึ่ง "  นี่คือความชื่นชมเมื่อ อาจารย์อรสา กล่าวถึงมารดาผู้ล่วงลับ

          ปัจจุบันอาจารย์อรสา อายุอานามก็ปาเข้าไป 75 ปี แล้ว  แต่ยังคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง  พร้อมที่จะถ่ายทอดศิลปะเหล่านี้ให้กับคนที่สนใจ  ข้าพเจ้าเองก็มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดจากท่านมาด้วย เพียงเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์ท่าน และยินดีที่จะแบ่งปันประสพการณ์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนี้ให้กับทุกคนที่สนใจ........


ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นกุหลาบ
 
ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นกุหลาบ
     
ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นกุหลาบ


ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นดอกบัว


ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นปลา,กุ้ง


ดลบันดาลผ้าเช็ดหน้าให้เป็นนก

  

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กระจกส่องประเทศไทย




โคฟี อันนัน


          การเดินทางมาประเทศไทยของนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.55 ตามคำเชิญของ คอป.แม้จะด้วยเจตนาดี ที่จะมาช่วยเสริมสร้างการปรองดองในชาติให้แก่ประเทศไทย แต่หากจะมองในอีกมุมหนึ่งมันสะท้อนใจยิ่งนักเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  คนไทยด้วยกันไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้เองได้โดยลำพังเสียแล้ว ต้องอาศัยคนนอก

          และที่มันแย่ขึ้นไปอีก  เมื่อตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์นายโคฟี  อันนัน บอกว่า .........................

          "สถานการณ์แบบนี้ต้องอาศัยการแก้ไขที่มาจากข้างในประเทศ  ต้องอาศัยเวลาและดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วม" 

          "คนไทย และผู้นำทางการเมืองไทยทุกคนควรจะนึกถึงผลประโยชน์ของชาติร่วมกันเป็นอันดับแรก"

          "บางเรื่องไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง หวังว่าทุกฝ่ายจะเห็นพ้องว่า พระเจ้าอยู่หัวท่านอยู่คู่คนไทยมาหลายรุ่น และจะทรงอยู่ต่อไป  คนไทยส่วนใหญ่ที่ผมได้พบ ต่างเคารพรักพระองค์  และเคารพบทบาทของพระองค์ในสังคมไทย ผมไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นประเด็นด้วยซ้ำ มีเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะที่เป็นปัญหาในสังคมไทย  เช่นการพัฒนาเศรษฐกิจ, ชาวนาที่ยังยากจน,  ท้องถิ่นที่ต้องได้รับการพัฒนา  เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่อยู่ในใจผู้คน "

          สิ่งที่นายโคฟี พูดทั้งหมด  นอกจากจะตอกย้ำว่า คนไทยนั่นแหละที่ต้องแก้ปัญหากันเอง  และทุกคนต้องร่วมมือกันแล้ว  นายโคฟียังมองเห็นถึงบทบาทที่สำคัญอย่างยาวนานของในหลวงของเรา  ที่ยอมเหนื่อยยากพัฒนาประเทศ ช่วยเหลือคนไทยที่ยากจน   ในขณะที่คนไทยบางคนพยายามมองข้ามไป

          การเดินทางมาไทยของนายโคฟี อันนัน  จึงเป็นเสมือนเป็นกระจกบานใหญ่ ที่ส่องประเทศไทย  ให้เห็นว่าคนที่เป็นผู้นำทางการเมืองควรทำอย่างไร  และเรื่องใดที่ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง  มีเรื่องมากมายที่ควรต้องทำก่อน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างที่มีรายได้น้อย  ชาวนาที่ยากจน  คนที่ประสพภัยธรรมชาติ  ฯลฯ  คนเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนใหญ่ของคนในประเทศ ที่รอรับการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา 

          คนที่เปิดใจกว้างเท่านั้น   ที่จะมองเห็นความสว่าง..................
          ขอบคุณ..โคฟี  อันนัน.......................

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นอนในป่าที่.. อวตารมิราเคิล จ.อุทัยธานี





อวตารมิราเคิล  เป็นรีสอร์ทที่แพงที่สุดในจังหวัดอุทัยธานี  ข้าพเจ้าและครอบครัวมีโอกาสได้ไปพักในช่วงปีใหม่ 2555 แต่สภาพจริงต่างไปจากที่คาดหวัง  จึงขอบันทึกเรื่องราวให้เห็นด้วยภาพต่าง ๆ

เส้นทางก่อนถึงที่พัก..ยังเป็นถนนลูกรัง

ทางเข้าที่พัก...เป็นทางคอนกรีต
 
ที่จอดรถยังเป็นสนามหญ้า

สภาพภายนอกของที่พัก


สภาพรอบๆที่พัก


สภาพรอบๆ ที่พัก


อาคารที่พักมี 2 ชั้น

ภายในห้องลอบบี้

ภายในห้องลอบบี้

ภายในห้องลอบบี้

ภายในห้องลอบบี้

ภายในห้องลอบบี้

ภายในห้องลอบบี้

ธรรมชาติยามเช้ารอบๆ ที่พัก
 
สระเลี้ยงปลาข้างบ้าน


บ้านพัก


ห้องรับแขกในบ้านยามค่ำคืน

ห้องอาหารในบ้าน

ภาพเขียนฝาผนังในบ้านพัก



ห้องนอนเพดานเป็นคลื่นเหมือนถ้ำ

ห้องน้ำ

ห้องแพนทรีในบ้านพัก


ข้อแนะนำ  :  ควรไปถึงที่พักก่อนมืด  มิฉะนั้นจะน่ากลัว แทนน่าอยู่
               :  ควรนำอาหาร-ของกิน  ไปให้เพียงพอ
               :  ควรนำไฟฉายติดตัวไปด้วย  อาจจำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน

ครบรอบ 1 ปี...แห่งวันระทึกใจในมหานครโตเกียว




ทางเข้าวัดอาซากุสะ ทุกคนหยุดนิ่งเมื่อมีแรงสั่นสะเทือน

วันนั้น....คือวันที่เกิดความระทึกใจที่สุดในชีวิตอ้อม
วันนั้น....คือวันที่อ้อม และเพื่อนอีก 3 คน เดินอยู่บนถนนสายหนึ่งในมหานครโตเกียว  บนถนนสายที่เล็กและแคบ   แต่คราคล่ำไปด้วยผู้คน ที่ต่างก็มีเป้าหมายไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์…….
ถนนสายนั้นคือเส้นทางเข้า..........วัดอาซากุสะ

อากาศวันนั้นกำลังเย็นสบาย  อ้อมและเพื่อนเดินอย่างเพลิดเพลิน .....เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก  และสินค้าพื้นเมืองของญี่ปุ่น... 

พลันทุกคนยืนหยุดนิ่ง  ราวกับเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น  !
เด็กวัยรุ่นอย่างพวกเรา..คิดเหมือนกันว่า คงมีดาราดังมาปรากฏตัว.........
แต่แล้วปรากฏว่าไม่ใช่...
ทุกคนตกใจเมื่อพื้นที่ยืนอยู่ สั่นสะเทือนอย่างแรง...เหมือนยืนอยู่บนจานที่กำลังถูกเขย่า......
แผ่นดินไหว !  เพื่อนคนหนึ่งร้องขึ้น  และพลันทุกคนก็กอดกันกลม ด้วยความตกใจ ...

แต่ชั่วครู่เดียว   ทุกอย่างก็อยู่ในภาวะปกติ  คนญี่ปุ่นคงเคยชินกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ดูเหมือนพวกเขาจะสงบนิ่ง  และพยายามติดต่อสื่อสารกัน  เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา

ทุกคนเดินต่อเข้าไปในวัด  จุดธูปไหว้พระ และกำลังอธิษฐาน  แต่ยังไม่ทันจบ  ก็เกิดสั่นสะเทือนเหมือนเช่นที่เกิดสักครู่นี้อีก คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม  เจ้าหน้าที่วัดไล่ทุกคนออกไปด้านนอก รวมทั้งพวกเราด้วย   เราจึงต้องไปยืนออกันที่เชิงบันได  มองขึ้นไปที่ยอดเจดีย์  เห็นว่าสั่นไหวจนน่ากลัว 

น่าจะไม่ดีแล้ว  เพราะสั่นนานมาก  พวกเรารีบเดินแกมวิ่งไปด้านหน้าวัด ตามคนอื่นๆ ที่เขาเดินกันไป  ผ่านหน้าร้านขายดาบ  เห็นดาบสั่นแกว่งไกว ราวกับมีคนจับแกว่ง  เจ้าของร้านไล่พวกเราให้ออกไปให้พ้น เพราะเกรงดาบจะล่วงหล่นใส่  …………

เหตุการณ์เริ่มชุลมุน  ร้านรวงต่างๆ เริ่มทะยอยไล่คนออกและปิดร้าน  เราเดินตามฝูงชนไปจนถึงร้านแมคโดนัล  ซึ่งเหลือเปิดอยู่เพียงร้านเดียว  มีผู้คนมากมายในร้าน  พวกเราทุกคนตัดสินใจหยุดพักที่ร้านแมคโดนัล  รวมตัวกันที่นี่แหละ ถึงอย่างไรก็อยู่กันหลายคน  ตายหมู่คงจะดีกว่า


ลูกค้าออกนอกร้าน มารวมกันบนถนน

ผู้คนวิ่งกันอย่างชุลมุนมากขึ้น  บ้างก็ออกมาอยู่ที่โล่ง  บ้างก็วิ่งกลับไปในซอกซอย  เป็นความโกลาหลที่อ้อมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในมหานครที่มีแต่ความสวยงามแห่งนี้  ในความสวยงาม มักจะมีความโหดร้ายแผงอยู่เสมอหรือ  มันน่ากลัวจริง ๆ เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและมืดครึ้ม ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน 

ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน

เราเริ่มติดต่อเพื่อนฝูง  ญาติพี่น้อง  แต่เจ้ากรรม  การสื่อสารทุกระบบล่มทั้งหมด  เราไม่สามารถติดต่อใครได้เลยแม้สักคนเดียว   !
Internet  ใช้ได้   !   เพื่อนคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ติดต่อได้แล้ว !  ...... ติดต่อได้แล้ว  !   ...........เพื่อนคนหนึ่งส่งเสียงร้อง เมื่อสามารถส่งข้อความทาง Facebook  ได้ ทุกคนเฮโล   พิมพ์ข้อความส่งถึงเพื่อนบ้าง  ผู้ปกครองบ้าง   อย่างน้อยก็บอกให้พวกเขารู้ว่า เรายังมีชีวิตอยู่ และ ปลอดภัย

จนกระทั่งครู่ใหญ่เหตุการณ์จึงเริ่มสงบ  เราตัดสินใจที่จะกลับบ้าน  อย่างน้อยก็เป็นที่พักพิงที่พอจะมีความปลอดภัย   จึงรีบเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าชินจุกุ  แต่อนิจจาเจ้ากรรม รถไฟทุกขบวนหยุดวิ่งหมด   ผู้คนมหาศาลยืนรอคิวกันอยู่เป็นแถวคดเคี้ยวยาวเหยียด


เราหมดทางเลือกเสียแล้วเหลือเพียง..เดิน.....  เดิน ......  และ..เดิน..เท่านั้น   เรารีบเดินเพื่อให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุด   ใช้เวลาเดินถึง 5 ชั่วโมงเต็ม   จึงถึงที่พัก  เป็นการเดินที่นานที่สุดในชีวิต  ตลอดข้างทางเห็นคนญี่ปุ่นซื้อสินค้ากันอย่างรีบเร่ง จนไม่เหลือถึงพวกเรา  ซุปเปอร์มาเก็ตบางแห่งเหลือแต่ชั้นว่างเปล่า  พวกเราไปได้ของกินเล็กน้อย และน้ำเพียงไม่กี่ขวด จากร้านค้าใกล้ที่พัก   เหตุการณ์ครั้งนี้หนักหนาจริง ๆ ...

แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเกิดขึ้นบ่อยมาก  ทุก ๆ วัน  นักข่าวจะรายงานเป็นตัววิ่งบนหน้าจอทีวี  ว่าเกิดที่ไหนบ้าง และขนาดกี่ริคเตอร์  จึงเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเดินคู่กับชีวิตของคนญี่ปุ่น   แต่คราวนี้รุนแรงมาก  เพราะมีขนาดถึง 9 ริคเตอร์  และเกิดใกล้ชายฝั่ง  จึงเกิดคลื่นสึนามิที่มิยาหงิ  เซนได  พัดเอาสิ่งของและทรัพย์สิน รวมทั้ง ผู้คน  กวาดลงทะเล ราวกับเป็นของเล่น และในวันรุ่งขึ้น เราก็ทราบข่าวร้ายเพิ่มเติมว่า โรงงานนิวเคลียร์ที่ ฟูกูชิมะ เกิดระเบิดขึ้น  มันช่างเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ


วันที่ 11 มีค.54  จึงเป็นวันที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์  และต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน  ถึงความเสียหายมหาศาลที่ธรรมชาติมอบให้ชาวญี่ปุ่น 
บัดนี้ใกล้จะครบ 1 ปีแล้ว  ภาพต่าง ๆ  ยังคงปรากฎชัดในความทรงจำ พวกเราโชคดีที่มีโอกาสกลับเมืองไทย แต่คนญี่ปุ่นที่ประสพเคราะห์กรรม  แม้จะได้รับการเยียวยาอย่างไร  ก็ไม่อาจชดเชยความสูญเสียของพวกเขาได้...

เราได้แต่อธิษฐานขอให้พระคุ้มครองพวกเขา  อย่าได้ประสพเคราะห์กรรมอย่างหนักหนาสาหัสเช่นนี้อีกเลย..

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ย้อนนึกถึงครั้งที่แม่ป่วย..ด้วยโรคไต





          ความเจ็บป่วยของแม่ข้าพเจ้า แม้จะมีอาการเรื้อรังมาเป็นเวลานานนับสิบปีด้วยโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นโรคประจำตัว แต่ไม่เคยมีครั้งใดเลย ที่จะบ่งบอกถึงความรุนแรงจนน่าวิตก เท่าอาการที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่  30 ก.ค.37

 
          วันนั้นเป็นวันเสาร์ ประมาณบ่ายโมงเศษ หลังจากที่แม่ทานอาหารกลางวัน และยาหลังอาหารเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเอนตัวลงนอน ก็เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนออกมาจนหมด ใจสั่น ตัวสั่น เหนื่อย หอบ คอตก ตัวเย็นเฉียบ และหน้าซีดเผือด จนไม่สามารถทรงตัวเองอยู่ได้เพียงลำพัง  ต้องเข้าไปช่วยประคองและปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ จึงค่อยสามารถหายใจได้สดวกขึ้น  บ่ายวันนั้น ลูกหลานพาแม่ไปโรงพยาบาลกันอย่างทุลักทุเล  และกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาการที่เกิดขึ้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย จนยากที่จะคาดเดาว่าเป็นอาการของโรคใดกันแน่  จึงได้แต่ภาวนาให้พระคุ้มครองแม่ อย่าให้มีอันตรายใด ๆ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล


          ประมาณบ่าย 3 โมงก็ admit ได้เรียบร้อย หลังจากเจ้าหน้าที่มาเจาะเลือด แม่ก็นอนอ่อนระโหยด้วยหมดแรง บ่าย 4 โมงเศษพยาบาลมาขอฉีดยา พร้อมทั้งแจ้งผลเลือดให้ทราบว่า แม่เป็น "โรคไต" ค่าโปแตสเซี่ยมในเลือดขณะนั้นสูงถึง 8.7 อาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ รวมทั้งค่าครีเอตินิน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพในการทำงานของไต สูงเกิน 8 แสดงถึงภาวะที่ไตทำงานได้น้อยมาก  แพทย์ประจำของแม่ จึงสั่งให้ฉีดยาเพื่อขับโปแตสเซียมก่อนในเบื้องต้น

          พยาบาลมาฉีดยาตามคำสั่งแพทย์ได้เพียงไม่ถึงนาที  แม่ก็มีอาการหน้าเขียวเหมือนคนจะช็อค  แม่เล่าให้ฟังในภายหลังว่า ร่างกายมันร้อน วูบวาบไปทั้งตัว จนทนไม่ไหว  แต่กระนั้น แม่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้พยาบาลรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ...ไม่ไหวแล้ว พี่น้อยและเป็กซึ่งเฝ้าอยู่ในช่วงนั้น จึงได้ขอให้พยาบาลเอาเข็มออก  พยาบาลต้องหยุดฉีดยาและเปลี่ยนเป็นให้ยาทานแทน  คืนนั้นทั้งคืนแม่ก็ถ่ายอุจจาระตลอด  วันรุ่งขึ้น ค่าโปแตสเซียมก็ลดลงเหลือ 4.7

          แพทย์เจ้าของไข้  ได้อธิบายผลวินิจฉัยเลือดให้ฟังว่า การทำงานของไตเหลืออยู่ประมาณ 10% เท่านั้น  ลักษณะอาการที่แม่เป็น  คือลักษณะอาการของไตวายเรื้อรังขั้นสุดท้าย

          พวกเรารับฟังคำชี้แจงด้วยความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง  แม้จะยอมรับโดยดุษฎีมาแต่แรกแล้วว่า สภาพร่างกายของแม่โดยทั่วไป เสื่อมลงตามอายุขัย  แต่อาการทางไต เป็นโรคใหม่ของแม่ ที่พวกเราลูกหลานไม่เคยทราบมาก่อน  คุณหมอได้ให้คำแนะนำต่อไป ถึงเรื่องการบำบัดรักษาว่า  หากไม่ฟอกเลือดล้างไต ก็จะต้องบำบัดด้วยยา ซึ่งจะช่วยยืดอายุของแม่ต่อไปได้อีกเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น

          คุณหมอขอให้ลูก ๆ เป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีรักษา  แต่ให้ข้อคิดไว้ว่า  แม่อายุ 85 ปี  นับว่าแก่มากแล้ว เสมือนคนที่เดินทางมายาวไกล  หนทางที่เหลือย่อมต้องแคบลง

          นับเป็นภาวะที่ยากยิ่งต่อการตัดสินใจที่จะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งโดยพลันได้  พวกเราทั้งหมดไม่ทันตั้งตัวและไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มาก่อน จึงเคว้งคว้างหาทิศทางไม่ถูก พี่น้องแต่ละคนต่างก็สอบถามข้อมูลจากผู้มีประสพการณ์อย่างชุลมุน  มีหลายคนทีเดียวให้คำแนะนำว่า แม่แก่ขนาดนี้ไม่ควรให้ฟอกเลือด

          ในวันรุ่งขึ้น พวกเราได้ขึ้นไปชั้น 9  ที่ห้องไตเทียม เพื่อขอดูของจริงและสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ล้างไต เป็นความบังเอิญที่มีคนไข้กำลังนอนให้ล้างไตอยู่ จึงพอจะได้รู้ถึงความรู้สึกและข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้พอสมควร  การประชุมพี่น้องในคืนนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า  จะไม่เลือกการฟอกเลือด จนกว่าจะเป็นหนทางสุดท้าย...ที่ไม่มีทางเลือกอื่น

          ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้กรุณาส่งแพทย์ทางไตมาให้คำแนะนำโดยละเอียดในวันต่อมา เป็นคำแนะนำที่หนักมากทีเดียวสำหรับพวกเราและเกินกว่าจะเตรียมใจได้ทันขณะนั้น  พวกเราตัดสินใจเลือกวิธีรักษาโดยใช้ยาบำบัด 

          หมอเริ่มฉีด Eprex ให้แม่ และให้ยาทานเพิ่มอีก 2 ชนิดคือ One alpha  และ Amiyu  นอกเหนือจากยาเดิมที่ยังคงต้องทานอยู่เป็นประจำ   แม่เริ่มดีขึ้นใน 2 วันต่อมา จนสามารถกลับบ้านได้ในวันที่ 6 สค.37  แต่จะต้องมาพบแพทย์ทุกวันเสาร์  เพื่อเช็คสภาพร่างกาย , เช็คเลือด  และฉีด Eprex   ระหว่างนี้เราต้องควบคุมอาหารของแม่  โดยอาศัยคู่มืออาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต ซึ่งซื้อมาจากมูลนิธิโรคไต  และต้องจัดอาหารแต่ละวันให้แม่ตามสูตร  เพื่อมิให้ร่างกายได้รับ โปแตสเซียม ,โปรตีน  สูงเกินไป จนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

          เหตุการณ์ผ่านมาด้วยดีนานเกือบ 3 เดือน อาการเช่นเดิมก็เริ่มปรากฏอีกครั้ง และในคราวนี้ ปรากฏมากกว่าเดิม  แม่เริ่มมีอาการซึม  อ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร  อาเจียนบ่อยครั้ง  ใจสั่น และตัวสั่นทุกครั้งที่เคลื่อนไหวร่างกาย  ไม่ว่าจะขยับร่างกายไปทางไหน ก็จะต้องกอดไว้นาน ๆ จึงจะหายสั่น  แม่มักจะบ่นโมโหในอาการสั่นของตัวเองอยู่เสมอ  เราเองรู้อยู่เต็มอกว่า เวลาของแม่คงใกล้เข้ามาแล้ว  ได้แต่ปลอบใจและให้เวลากับแม่มากขึ้น  เพื่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น และมีกำลังใจที่จะต้อสู้กับโรคร้าย   ทุกๆคืน เมื่อนำแม่เข้าห้องนอน  จะต้องคอยบีบนวดตามแขน ขา มือ เท้า ก่อนจะห่มผ้าและทา Mentholatum ที่จมูก  แม่จะสูดลึกด้วยความรู้สึกสดชื่น  ก่อนที่จะนอนหลับไป

          เช้าวันที่ 15 ต.ค.37 ลูกหลานพาแม่ไปโรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนระโหย โดยแท้จริงแล้วเป็นการไปพบแพทย์ทุกวันเสาร์ เพื่อเช็คสภาพร่างกายและฉีดยาตามปกติเท่านั้นเอง  ไม่มีใครสังหรณ์ใจเลยว่า  การจากบ้านของแม่ในวันนี้  จะเป็นการจากไป....ชั่วชีวิต

          แพทย์เจ้าของไข้ วัดความดันโลหิตได้  220/100 จึงขอให้ Admit  ทันที และให้ความเห็นว่าสภาพอาการของแม่  จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ทางไตแล้ว  ในเย็นวันนั้น พวกเราได้พบกับหมอไตอีกครั้ง และต้องย้อนกลับไปใคร่ครวญคำแนะนำของหมอในครั้งก่อน  เพราะสภาพอาการของแม่เป็นที่น่าวิตกมาก  ตาลอย  และเบื่ออาหารไปหมด  แม่ทานได้เพียงน้ำข้าวต้มเมื้อละ 2 ช้อนเท่านั้นถึง 4 มื้อติดกัน  ผลการเช็คเลือดและตรวจปัสสาวะใน 24 ชั่วโมงพบว่า  ไตทำงานไม่ถึง 5%  และอยู่ในภาวะที่จะต้องช่วยชีวิตด้วยการฟอกเลือด 

          เราจำเป็นต้องตัดสินใจ เลือกวิธีการฟอกเลือดด้วยความรู้สึกที่กล้ำกลืนยิ่ง....เพราะรู้ว่า...นี่คือทางเลือกสุดท้าย ....และวาระสุดท้าย..คงอยู่ไม่ห่างไกลนัก

          คืนนั้นแม่เริ่มมีอาการใหม่เกิดขึ้นคือ  อาการคันตามตัวอย่างมาก  เกาเท่าไรก็ไม่หาย  จนต้องใช้ผ้าเย็นเช็ดตามตัว  แล้วทาด้วยวิตามินอี และต้องเกาเบาๆให้ตลอดเวลา  จนกระทั่งหลับไปประมาณ 00.10 น. พยาบาลได้เข้ามากำชับในเรื่องการงดน้ำ งดอาหาร  เพื่อเตรียมตัวผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น  สัญญาณชีพขณะนั้น ยังคงอยู่ในระดับปกติ คือ ความดันโลหิต 130/90    อุณหภูมิร่างกาย 36.5     ชีพจร 84 ครั้ง/นาที   หายใจ 15 ครั้ง/นาที 

          ประมาณ 7.30 น.ของวันที่ 18 ต.ค.37  รถเปลมารับไปห้องผ่าตัด เพื่อเตรียมเส้นเลือดสำหรับการล้างไตโดยใช้เข็มแทงเข้าเส้นเลือดบริเวณใต้ไหปลาร้า  ปลายเข็มมีท่อพลาสติก 2 แฉกสวมอยู่  สำหรับนำเลือดเข้าทางหนึ่ง และออกอีกทางหนึ่ง  การล้างไตเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 13.45 น. ของวันเดียวกัน ขณะเริ่มเปิดเครื่องล้างไต  สัญญาณชีพยังคงอยู่ในระดับปกติ  ความโลหิต 150/80  ชีพจร  86  เริ่มเปิดเครื่องให้น้ำยาปล่อยเข้าช้า ๆ  Blood flow  ต่ำสุดเพียง 150    วัดความดันโลหิตทุก  5 นาที  ยังคงอยู่ในระดับเดิม  ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกถึงความผิดปกติเลย จนกระทั่งนาทีที่ 15  โดยประมาณ ขณะนั้นปล่อยน้ำยาเข้าไปได้ประมาณ 500 cc  เริ่มฟอกเลือดได้บ้างเล็กน้อย  แม่บ่นปวดปัสสาวะ  เจ้าหน้าที่นำกระโถนมาให้  แม่ปัสสาวะออกมามากเกินปกติ  ทันทีที่เสร็จ  ดวงตาทั้ง 2 ข้างก็เริ่มกระพริบติด ๆ กัน 4-5 ครั้ง  แขนขาและร่างกายกระตุก  หน้าซีดเผือด  ตัวเย็นเฉียบ และช็อคแน่นิ่งไปในที่สุด  หัวใจหยุดเต้นแล้ว !

          พยาบาลได้เข้ามารุมล้อมช่วยชีวิตกันอย่างรีบเร่ง  หลังจากวัดความดันโลหิตไม่ได้ และจับชีพจรไม่พบ  ดึงหมอนออกเพื่อให้นอนราบ  ปิดเครื่องล้างไต  ใช้ฝ่ามือฟาดเต็มแรงที่ตำแหน่งของหัวใจ และปั๊มหัวใจต่อเนื่องกันหลายครั้ง  เอามือล้วงคอ และสอดท่อพลาสติกไว้  เพื่อให้อ๊อกซิเจนทางปาก  ประมาณ 2-3 นาทีผ่านไป  หัวใจจึงเริ่มเต้น  พยาบาลส่งเสียงเรียกแม่เป็นระยะ ๆ  คุณยาย....คุณยาย...คุณยาย...

          เริ่มมีเสียงตอบรับเบา ๆ ในลำคอ  ประมาณ 1 นาทีหลังจากนั้น   แม่ก็อาเจียนออกมาจนหมด  ตัวเริ่มอุ่น  หน้าเริ่มมีสีเลือด และอาการโดยทั่วไป ค่อยๆ ดีขึ้น......

          นับเป็นการตายแล้วเกิดใหม่โดยแท้จริง  ฝ่ามือที่ฟาดตรงหัวใจ น่าจะชื่อฝ่ามืออรหันต์พิชิตมัจจุราช  หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกใจ แม่ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  และตื่นขึ้นมาในคืนนั้นด้วยความรู้สึกที่อ่อนระโหย  บ่นเจ็บคอ และไม่ยอมทานอะไรเลย   ตุ๊ก..ลูกชายแม่  ป้อนโอวัลตินให้ประมาณ 2-3 คำ แม่ก็หลับไปอีกอย่างหมดแรง  แต่แม้กระนั้น เมื่อลูก ๆ จะกลับบ้าน แม่ก็ยังมีแก่ใจที่จะฝืนลืมตา  เพื่ออวยพรให้ทุกคนโชคดี

          ความล้มเหลวในการล้างไตด้วยเครื่อง  ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธี  มาเป็นใช้น้ำยาล้างทางช่องท้องแทน ประมาณ 16.15 น.ของวันที่ 20 ต.ค.37  ลูกหลานต้องส่งแม่เข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเตรียมใส่ท่อในช่องท้องสำหรับเปลี่ยนถ่ายน้ำยา  ครั้งนี้แม่อยู่ในห้องผ่าตัดนานเกือบ 2 ชั่วโมง  ทราบภายหลังว่า แม่ต่อต้านจนหมอต้องให้ยาสลบ และเกิดความดันตกไปชั่วขณะ  หมอจึงต้องดูแลใกล้ชิด จนกว่าจะพ้นขีดอันตราย  อย่างไรก็ตาม ประมาณ 4 ทุ่มของคืนนั้น แม่ก็ได้กลับมานอนพักที่ห้อง   และเป็นคืนแรกที่แม่นอนหลับได้สนิทลึกและยาวนาน  ตืนขึ้นมา 6.00 น.ของวันรุ่งขึ้นด้วยสภาพที่สดชื่น และดูเหมือนจะมีกำลังขึ้นเล็กน้อย  แม่บ่นว่าเจ็บแผล  จึงได้แต่ปลอบโยนและให้กำลังใจ  พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้แม่ฟัง   แม่รับฟังด้วยความสนใจ  ยิ้มและพูดว่า แม่ไม่ได้กลัวเลย..นี่คือความเข้มแข็งและเป็นคนที่มีใจสู้ของแม่

          เมื่อต้องเลือกวิธีการรักษาด้วยการใช้น้ำยาล้างทางช่องท้อง  แพทย์จึงให้พยาบาล มาสาธิตวิธีการล้างไตด้วยน้ำยาทางช่องท้องให้ดู  เพราะในระยะยาว ต้องเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้ เมื่อกลับไปอยู่บ้าน  การล้างช่องท้องในครั้งแรก ก็ปรากฏว่าประสพปัญหาอันเนื่องจากท่อลอยสูงมากจนไม่สามารถดึงน้ำออกจากร่างกายได้  แม้จะพลิกตัวไปมาหลายครั้งก็ตาม  แต่คณะแพทย์ก็สามารถแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้จนลุล่วง   และการล้างไตหลังจากนั้นต่อๆ มาค่อนข้างดำเนินไปด้วยดี   ทุก ๆ  รอบการเปลี่ยนถ่ายน้ำยา  สามารถดึงน้ำออกจากร่างกายได้มาก  และสภาพน้ำที่ออกจากร่างกายมีสีเหลืองใส  เป็นที่พอใจของแพทย์ผู้รักษา ปัญหาหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ กลับเป็นอาการติดเชื้อซึ่งส่งผลให้แม่ต้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา

          เมื่อเริ่มติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งแต่ 30 ต.ค.37 อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากพิษไข้ สัญญาณชีพเริ่มแปรปรวน ความดันสูงบ้าง ต่ำบ้าง  การหายใจไม่คงที่  และเริ่มมีอาการกระตุกขึ้นเป็นระยะ ๆ  จนเกือบจะกลายเป็นชัก  หมอต้องให้ยากันชัก , ยาควบคุมความดัน และย่าฆ่าเชื้อ ตามลำดับ ประมาณ 4-5 วันต่อมา อาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จึงเริ่มดีขึ้น สีปัสสาวะที่ขุ่น เริ่มใสขึ้นตามลำดับ   อาการหนักกลับเปลี่ยนไปอยู่ที่ระบบทางเดินหายใจแทน และพบว่าแม่ติดเชื้อตัวที่แรงที่สุดและดื้อยาเก่งที่สุด  สัญญาณชีพเริ่มแปรปรวนอีกครั้ง  จนเป็นที่น่าวิตก โดยเฉพาะการหายใจมีลักษณะของการหอบ

          เจ้าหน้าที่หลายท่านของสมาคม YMCA  ได้กรุณามาให้กำลังใจแม่หลายครั้ง โดยเฉพาะครูยุวดี,ครูศรีทัย , คุณแมรี่  ได้ช่วยกันอธิษฐานอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ให้ทรงปัดเป่าโรคร้ายและสถิตย์อยู่ในหัวใจของคณะแพทย์ผู้รักษาให้ได้ทุ่มเทสรรพกำลังรักษาแม่ให้รอดพ้น  เราเชื่อมั่นในแรงอธิษฐานของท่านเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมากจากคณะแพทย์พยาบาลผู้ดูแล  แม้สภาพอาการของแม่จะทรงๆ ทรุดๆ  และยาฆ่าเชื้อหลายชนิดถูกระดมเปลี่ยนกันใช้อย่างต่อเนื่อง

          และในเช้าวันที่ 17 ธ.ค.37 ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้น แม่ตื่นขึ้นมาประมาณ 6.00 น. ด้วยความรู้สึกตัวที่ค่อนข้างดี เนื่องจากหลับลึก ยาวนานไปหลายวัน เพราะผลกระทบทางสมองจากยาต่าง ๆ  แม่ลืมตาตื่น และเลิกคิ้วมองโน่นนั่นนี่  เมื่อจับมือแม่ แม่จะบีบมือตอบ เป็นเช่นนี้ตลอดวันและหลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ  แม่เหลียวมองรอบ ๆ ห้อง อ่านโน่นอ่านนี่  เมื่อคุณหมอเข้ามาตรวจ ถามว่าจำหมอได้หรือไม่  แม่พยักหน้าตอบรับ  ปรากฏการณ์เช่นนี้ สร้างความดีใจให้กับลูกหลานเหลือประมาณ พวกเราต่างก็ส่งข่าวถึงกันด้วยความลิงโลดใจ

          แต่สิ่งที่แน่นอนในโลกนี้  คือความไม่แน่นอน ในอีก 4-5 วันต่อมา อาการของแม่ก็เริ่มทรุดหนัก ความดันตกเป็นช่วง ๆ การหายใจเป็นลักษณะหอบ จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งเพิ่มปริมาณยาควบคุมความดัน ถึงเกือบ 40 drop/นาที  มีอาการกระตุก  ชัก ตามมาในลักษณะของอาการโรคไต

          ร่างกายแม่อ่อนล้าเต็มที เหมือนรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน  แม้จะช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร ก็ไม่อาจพ้นสภาพของไม้ใกล้ฝั่งไปได้  มือ-เท้าของแม่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ  ความดันโลหิตไต่ระดับต่ำลงทุกขณะ จนบางคราววัดได้เพียง 40/30 เท่านั้น  และแผ่วเบาจนเกือบจะไม่สามารถฟังได้ยิน  ลมหายใจแผ่วลง..........แผ่วลง.............แผ่วลง.....  

          คืนวันที่ 6 ม.ค.38  จึงเป็นคืนสุดท้าย ที่ลูกๆ หลานๆ ทุกคนได้อยู่ใกล้แม่กันพร้อมหน้าเกือบ 30 คน จนแน่นห้อง 902 ของตึกสิรินธร   แม่อยู่ในอาการสงบนิ่ง..เหมือนกับพร้อมที่จะลาจาก พี่เล็กได้นำบทสวดมนต์มาสวดให้แม่ฟังตั้งแต่หัวค่ำจนมืดดึก....ด้วยหวังว่าจะให้เป็นเสียงแว่ว..แว่วในสำนึกสุดท้ายของแม่.....

          แม่และลูก...คงต้องลาจากกันตรงนี้แล้ว....

                                                นอนหายใจรวยริน..ใกล้สิ้นแล้ว
                                                ลมหายใจแผ่ว..แผ่ว ..ใกล้ดับสูญ
                                                ชีวิตช่วงสุดท้าย..ใกล้อาดูร
                                                รอเวลา..สิ้นสูญ..ทุกนาที

                                                ชีวิตแม่เหนื่อยล้า..มามากนัก
                                                ถึงคราคราวหยุดพัก..อย่างเต็มที่
                                                นอนเสียเถิด..หลับสนิท..ชั่วชีวี
                                                นับตั้งแต่นาทีนี้..จนนิรันดร์

                                                โอ้โอ๋..กุศล...ผลบุญ
                                                ช่วยเกื้อหนุน..นำทาง..สู่สวรรค์
                                                คุณความดี..ที่แม่สร้างไว้นานวัน
                                                จงผสานเป็นประทีป..นำชีพไป

                                                ลูกทุกคน..อาลัย..ใจจะขาด
                                                แต่ไม่อาจหักใจ..ฝืนไว้ได้
                                                สัจจธรรมทุกคน..ไม่พ้นตาย
                                                สิ่งที่แม่เหลือไว้..คือ..ความดี

                                                ลาแล้ว...........ลาลับ
                                                ชีพใกล้ล่วงดับ..เต็มที่
                                                สุขสงบ..นานเนาว์..ชั่วชีวี
                                                นับตั้งแต่นาทีนี้..จนนิรันดร์..


ลูกหลาน  ได้ลาแม่ในตี 2 ของคืนนั้น........
........................และในเวลาตี 5 แม่ก็อำลาไปจากทุก ๆ คน.........
.............................................หายใจแผ่วสุดท้าย เมื่อ 05.10 น.....
...................................................................แม่จากไปแล้ว........ อย่างสงบ
.......................................................................................ดวงวิญญาณล่องลอยสู่สรวงสวรรค์.




    

    
    



วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สักการะ..หญิงกล้า



วัดศาลาลอย


ภายในบริเวณวัด

เมื่อวันที่  4 กพ. 55  ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปโคราช และแวะสักการะท่านท้าวสุรนารี หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ย่าโม  ไปครั้งนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปแวะที่ วัดศาลาลอย ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานอัฐิของย่าโม  วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่ไหลมาจากลำตะคองผ่านเมืองโคราช  เชื่อกันว่าย่าโมและสามีคือ เจ้าพระยามหิศราธิบดี เป็นผู้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370  พบผู้คนที่เคารพย่าโม มาสักการะ อย่างมากมาย ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในนั้นที่เคารพนับถือย่าโมในฐานะที่เป็นหนึ่งในหญิงกล้าของแผ่นดินไทย


ตามปกติเราเคยแต่ผ่านอนุสาวรีย์ของท่าน ที่อยู่กลางเมืองโคราช เป็นรูปปั้นสีดำ  จึงนึกไม่ออกว่า หน้าตาของท่านเป็นอย่างไร  แต่พอได้มาที่วัดศาลาลอย  เห็นรูปถ่ายของรูปปั้นที่อยู่ในวิหารหลังหนึ่ง  และเห็นรูปวาดของท่าน  รู้สึกทึ่งอย่างมากมาย



รูปปั้นย่าโมในวัดศาลาลอย



รูปถ่ายรูปปั้นอยู่ในวิหาร


รูปวาดย่าโม

ย่าโม  นอกจากท่านเป็นหญิงที่เก่งกล้า สามารถมาก  ท่านยังเป็นหญิงที่สวยงามมาก ๆ คนหนึ่งทีเดียว  เป็นวีรสตรีแห่งชาวสยามที่ควรศึกษาประวัติเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้ประวัติของย่าโมมาจากวัดแห่งนี้


ย่าโม เกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2314 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บิดาชื่อนายกิ่ม  มารดาชื่อนางบุญมา  สมรสเมื่ออายุ 25 ปี กับพระยาปลัดทองคำ (พระยามหิศราธิบดี)  ขณะนั้นจึงเรียกท่านว่า คุณหญิงโม  ท่านเป็นผู้ที่มีปัญญาหลักแหลม  ใจคอหนักแน่น เด็ดขาด กล้าหาญ และเจนจัดในการกีฬา  เช่นเล่นหมากรุกหาตัวจับยาก  ชำนาญในการขี่ม้า เวลาท่านออกรบจะขี่ม้าสีดำ
 

เมื่อปลายรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองเมืองเวียงจันทร์ได้ยกทัพเข้ายึดเมืองนครราชสีมา  ขณะนั้นไม่มีผู้ควบคุมดูแลรักษาเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงยึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จอย่างง่ายดายเมื่อวันเสาร์ที่ 17 ก.พ. 2369   คุณหญิงโมและราษฎรทั้งหลายถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  คุณหญิงโมได้ใช้ความสามารถเจรจาขอร้องกองทัพเวียงจันทร์ให้เห็นแก่ชาวบ้าน ขณะเดียวกันก็หากลอุบายหน่วงเหนี่ยวให้กองทัพเดินทางล่าช้า  เช่นให้ชาวบ้านทำเป็นป่วยไข้บ้าง  ทำเกวียนหักบ้างเพื่อทำให้ต้องเสียเวลาซ่อมแซม   พร้อม ๆ กับดำเนินการในทางลับกับชาวบ้านให้ทำการตระเตรียมอาวุธให้พร้อมไว้  จนกระทั่งเดินทางไปถึงทุ่งสัมฤทธิ์  แขวงเมืองพิมาย กองทัพได้หยุดพัก  คุณหญิงโมได้วางแผนให้ชาวบ้านนำข้าวปลาอาหารมื้อเย็นจัดเลี้ยงทหารเวียงจันทร์  โดยขอให้นางสาวบุญเหลือ ซึ่งเป็นสตรีที่สวยงามกว่าเพื่อน พาหญิงสาวเมืองนครราชสีมาไปปรนเปรอทหาร จนกระทั่งทหารเหล่านั้นหลงระเริงในความสุขที่ได้รับการปรนเปรอ และขาดการระมัดระวัง   กลางดึกคืนนั้น คุณหญิงโมขี่ม้าสีดำ นำชาวเมืองนครราชสีมา  พร้อมอาวุธเคลื่อนพลด้วยความสงบเงียบเข้าโจมตีทหารเหล่านั้น  แย่งชิงอาวุธจากทหารฆ่าทหารเวียงจันทร์กันอย่างอลหม่าน  ส่วนหญิงที่เข้าไปปรนเปรอทหาร พอรู้ว่าคุณหญิงโมยกพลเข้าโจมตีแล้ว  ก็ละเลิกการปรนนิบัติ  สวมหัวใจสิงห์เข้าประหัตประหารศัตรูทันที   นางสาวบุญเหลือซึ่งขณะนั้นกำลังปรนเปรอทหารผู้เป็นหัวหน้าควบคุมค่าย ฉวยคว้าดาบหมายสังหาร แต่ไม่สำเร็จ จึงวิ่งหนีไปยังเกวียนที่บรรจุดินระเบิด และฉวยดุ้นฟืนที่ติดไฟใส่ไปยังกองเกวียน จนเกิดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คร่าชีวิตทหารไปจำนวนมาก ตามแผนที่คุณหญิงโมวางไว้   นางสาวบุญเหลือเองก็เสียชีวิตไปในครั้งนั้นด้วย  ความกล้าหาญของคุณหญิงโม  สร้างความเชื่อมั่นและฮึกเหิมให้แก่ชาวบ้าน ไล่ฆ่าทหารเวียงจันทร์ตายเกลื่อนกลาดทั่วท้องทุ่งสัมฤทธิ์  ส่วนที่เหลือก็แตกพ่าย   เจ้าอนุวงศ์เห็นว่าไม่มีหนทางต่อสู้ได้ เพราะเสียกลลวงวีรสตรีไทย จึงรีบเผาค่ายและเผาเมืองนครราชสีมา   ยกทัพกลับเวียงจันทร์เมื่อ 23 มี.ค. 2369


คุณหญิงโม  สามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จ  ด้วยไหวพริบ  ความชาญฉลาดและความกล้าหาญ  มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว  เสียสละปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริราชศัตรู  โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน  ประวัติของคุณหญิงโมสมควรที่คนไทยทั้งหลายพึงจดจำและยึดถือเป็นแบบอย่าง
 

คุณหญิงโม ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ.2395  สิริมายุได้ 81 ปี  อัฐิของท่าน บรรจุอยู่ที่วัดศาลาลอยแห่งนี้ เพื่อให้เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยทั้งหลาย  และได้รำลึกถึงวีรกรรมของท่านที่ได้สร้างไว้ในแผ่นดิน



เจดีย์บรรจุอัฐิย่าโม

ขอสักการะ หญิงกล้า อย่างเต็มหัวใจ !    

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เตรียมตัว..เตรียมใจ..และใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

ภาพแสงเหนือที่เกิดหลังมีพายุสุริยะ (ภาพจากไทยรัฐ)
          หากหลายท่านได้มีโอกาสติดตามข่าวสารขณะนี้ จะเห็นว่า นอกเหนือจากข่าวร้อนทางการเมืองเรื่อง ประมวล กม.อาญามาตรา 112 ที่โด่งดังกันสุด ๆ แล้ว มีเรื่องที่ hot แบบเงียบ ๆ นั่นคือข่าวสารเรื่อง "พายุสุริยะ" เนื่องจากเมื่อวันที่ 25 มค.55 มีสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า องค์การนาซ่าได้ออกแถลงการณ์เตือนชาวโลก  ให้เตรียมรับมือกับพายุสุริยะ ที่คาดว่าจะใหญ่ที่สุดในรอบ 7 ปี ในสัปดาห์นี้  หลังจากที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์เกิดแรงระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มค.55 ที่ผ่านมา โดยพายุดังกล่าวจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาสู่โลกด้วยความเร็ว 1,400 ไมล์ต่อวินาที  ส่งผลทำให้กระทบต่อระบบจีพีเอส สื่อสารการบิน ระบบวิทยุ ระบบดาวเทียม และระบบการสื่อสารอื่น ๆ บนโลก  อีกทั้งยังจะส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือขนาดใหญ่ ที่สามารถมองเห็นได้ในบริเวณต่ำกว่าเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีให้เห็นได้ไมบ่อยนัก

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะผลกระทบจะเกิดขึ้นกับทุกคนบนโลกใบนี้  ทำให้ข้าพเจ้าต้องย้อนกลับไปหาหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 15มค.55 ที่ได้นำบทสัมภาษณ์ของ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น คนไทยที่ทำงานอยู่ในองค์การนาซ่า มาอ่านดูอีกครั้ง

          ดร.ก้องภพ อยู่เย็น เป็นวิศวกรด้านเทคโนโลยีไมโครเวฟ ขององค์การนาซ่า  เป็นเจ้าของรางวัลวิศวกรดีเด่นของนาซ่าประจำปี 2553-2554 บอกว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่หลายคนมองว่าเป็นภัยพิบัติ เป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้  โดยใช้ข้อมูลจากการเก็บสถิติของปฏิกิริยาดวงอาทิตย์  นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงด้านขอบนอกของระบบสุริยะจักรวาลว่ามีปริมาณสูงขึ้น   ขอบระบบสุริยะจักรวาลมีความสว่างมากกว่าปกติ  มีข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์ว่า ระบบสุริยะกำลังโคจรเข้าหากลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นสูง  ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาล  และพบว่ารังสีคอสมิค จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดไอน้ำในอากาศเร็วขึ้นและง่ายขึ้น ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดคือ "พายุสุริยะ"

          ดร.ก้องภพ กล่าวว่า ปัจจุบันพายุสุริยะมีความรุนแรงมากขึ้น  เป็นการปล่อยพลังของดวงอาทิตย์ออกมาในรูปของพายุสุริยะที่เกิดขึ้นนอกโลก  มีมวลและความเร็วสูง  ทั้งยังมีประจุไฟฟ้าในพายุ  เมื่อพลังงานเหล่านี้เคลื่อนที่มายังโลก  โลกจึงเหมือนถูกไฟฟ้าช๊อตชั่วคราว  เกิดความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกี่ยวกับน้ำในอากาศ  ดังนั้นช่วงที่พายุสุริยะเข้ามากระทบโลก  จึงเกิดน้ำท่วมตามมา เช่นเมื่อปลายปี 2554  น้ำท่วมเป็นประวัติการณ์  ก็เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดของดวงอาทิตย์เมื่อ 22 กย.54  กระทั่งพลังงานจากดวงอาทิตย์เข้ามากระทบโลกอีก 4 วันถัดมา  ส่งผลให้สนามแม่เหล็กโลกที่มีลักษณะเหมือนเปลือกหุ้มผลส้มเกิดรูโหว่

          ดร.ก้องภพกล่าวอีกว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยารุนแรงมากที่สุด ในปีนี้ดวงอาทิตย์กำลังเข้าสู่วัฏจักรที่มีความรุนแรงมากขึ้น  มันเริ่มตั้งแต่ปี 2552 โลกเราผ่านไป 3 ปีแล้ว จุดสูงสุดจะอยู่ระหว่างปี 2012 - 2015 ปฏิกิริยาดวงอาทิตย์รุนแรง ปล่อยพายุสุริยะออกมามาก น้ำจะท่วมเยอะ ทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติอื่น ๆ ด้วย  เช่นเรื่องของสภาพอากาศแปรปรวนฉับพลัน ระบบไฟฟ้าและดาวเทียมสื่อสารขัดข้อง  จากผลการศึกษาพบว่า ความถี่ของการเกิดพายุสุริยะ สัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหว หรือ ภูเขาไฟระเบิดด้วย  หรือการเกิดพายุลูกใหญ่ ๆ มักก่อตัวช่วงที่พายุสุริยะเคลื่อนตัวมายังโลก

          ข้าพเจ้าได้นำข่าวและบทสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว มาเล่าต่อกันฟัง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายไม่อาจจะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นนับจากนี้ได้  จำเป็นต้องเตรียมตัว เตรียมใจ ยอมรับ  และจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเผฃิญกับมันอย่างมีสติ   ยังมีอีกหลายคนที่วิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  หันไปพึ่งหมอดู หรือคำทำนายทายทักจากสำนักต่าง ๆ  ว่าโลกจะถึงกาลดับสิ้นใน ธค.55  แต่ไม่ว่าการทำนายทายทักจะเป็นอย่างไร  อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด  เพราะมันเกิดขึ้นตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์   ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงบนดวงอาทิตย์ได้ เท่าๆกับ ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงของชะตาชีวิตของแต่ละคนที่ถูกกำหนดมาแล้วได้ เพราะทุกชีวิตถูกกำหนดมาด้วยกรรม  คือกรรมดี  กรรมชั่วที่แต่ละคนได้กระทำไว้

          ฉะนั้นการเตรียมตัวอย่างมีสติ  นอกเหนือจากการจัดระบบทรัพย์สินของตนเองให้อยู่ในที่ซึ่งมีความปลอดภัยแล้ว นั่นคือสร้างกรรมดีอย่างต่อเนื่อง  และใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข บนความพอเพียงและความไม่ประมาท

          ขอให้ทุกท่านโชคดีนะคะ....