บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดอยอ่างขาง..ในความทรงจำ


                                                           

ในความทรงจำข้าพเจ้า ดอยอ่างขางคือสถานีวิจัยที่อยู่ไกลมาก กันดารมาก และอันตรายมาก ข้าพเจ้าจำได้ว่าขึ้นไปอ่างขางครั้งแรกเมื่อปี 2519  สภาพพื้นที่ในขณะนั้นมีแต่แปลงไม้ผล  ซึ่งเป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  แต่ก็มีความงามตามธรรมชาติของพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการปรุงแต่ง  ดอยอ่างขางอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร สมัยนั้นการขึ้นลงลำบากมากสุด ๆ  เพราะยังไม่มีถนนหนทาง  การสัญจรใช้การเดินเท้าลัดเลาะตามไหล่เขาเพียงอย่างเดียว  เส้นทางการเดินป่าขณะนั้นมีอยู่ 2 เส้นทางด้วยกัน เส้นทางแรก จะเริ่มจากบ้านแม่เพอะ  ผ่านม่อนโจะโละ  ผ่านบ้านขอบด้ง   ผ่านกิ่วลม  และเข้าสู่สถานีอ่างขาง  ส่วนอีกเส้นหนึ่ง จะเริ่มจากบ้านม่วงชุม  ผ่านบ้านนอแล  ผ่านกิ่วลม  และเข้าสู่สถานีอ่างขาง   เส้นทางหลังนี้ดูจะเดินยากหน่อยเพราะสูงชันมาก  ชาวเขาเองก็ไม่ค่อยใช้กัน  แต่ไม่ว่าเส้นทางไหนก็สาหัสทั้งสิ้น   การขึ้นลงจึงไม่อาจทำได้ตามใจชอบ  เพราะขึ้นลงแต่ละครั้งต้องใช้เวลาเป็นวัน ทั้งยังมีความเสี่ยงภัยระหว่างการเดินทาง  อาหารการกินจึงต้องอาศัยการส่งเสบียงทางอากาศ  ซึ่งจะมีเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจตระเวณชายแดนแวะมาส่งเสบียงให้เดือนละครั้ง




ในการเดินทางขึ้นดอยอ่างขางครั้งแรกของข้าพเจ้า นับว่าโชคดีมากเพราะตรงกับช่วงเวลาที่มีการส่งเสบียงขึ้นดอย จึงได้ขออาศัยนั่งเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจตระเวณชายแดนที่ขึ้นไปส่งเสบียง   ดู ดู เหมือนกับโก้ แต่เปล่าเลยขาลงไม่มีเฮลิคอปเตอร์ มาส่งเสบียงอีก  จึงต้องเดินลัดเลาะไหล่เขาลงมาเหมือนคนอื่น ๆ มันเป็นการเดินทางที่สาหัสที่สุดในชีวิต  แต่ก็ทำให้ได้เห็นถึงความลำบากของเจ้าหน้าที่  ที่ปฏิบัติงานบนดอย เพราะหากมีเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยฉุกเฉิน คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากมากทีเดียว




สถานีแห่งนี้มีที่มาจากการที่ในหลวงและพระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และเสด็จผ่านดอยอ่างขางได้ทอดพระเนตรเห็นว่าบริเวณนี้เป็นเขาหัวโล้น ชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ปลูกฝิ่นกัน เป็นการทำลายทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศ  จึงขอซื้อที่ดินจากชาวเขาในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 1,500.-บาท  เพื่อใช้เป็นแหล่งวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ  เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวเขา  ให้หันมาปลูกทดแทนฝิ่น และพระราชทานนามว่า"สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" สถานีแห่งนี้เป็นแห่งที่ 2 นับจากที่ได้โปรดเกล้าให้ตั้งโครงการหลวงขึ้นมาเมื่อปี 2512 โดยมีท่านหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ทรงเป็นประธานมูลนิธิโครงการหลวง ดูแลรับผิดชอบ และมีสถานีวิจัยแห่งแรกอยู่ที่ดอยปุย ซึ่งที่นั่นในหลวงได้ซื้อที่ดินจากชาวเขาด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เองเช่นกัน จำนวน 200,000.- บาท และพระราชทานนามว่า "สวนสองแสน"




พี่วินัย ปั่นศิริ รุ่นพี่เกษตรรุ่น 19  เป็นหัวหน้าสถานีคนแรกของอ่างขาง เมื่อปี 2513  อยากจะเรียกว่าเป็นรุ่นบุกเบิกพลิกฟื้นแผ่นดิน  เพราะขณะนั้นสภาพโดยทั่วไปของอ่างขางยังเป็นสภาพที่ยังไม่ได้พัฒนาอะไรเลยมีแต่ป่าเขาลำเนาไพรและความเสี่ยงภัยมีอยู่รอบตัวทั้งจากชนกลุ่มน้อยชาวมูเซอร์ดำ , ชาวจีนฮ่อ และ ไทยใหญ่ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือกองคาราวานฝิ่น บุคคลที่ขึ้นไปทำงานบนดอย จึงต้องดำรงชีวิตอย่างระวังภัยอยู่ตลอด 24 ชม. ไม่ต่างกับทหารหรือตำรวจตระเวณชายแดน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาต้องช่วยตัวเองเท่านั้น สิ่งเดียวที่เป็นพลังให้พวกเขาอยู่กันได้ ก็คือความศรัทธาและพระบารมีในหลวง ในอันที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน  จึงเป็นเสมือนยันตร์กันภัยที่ทำให้พวกเขาแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้




วุฒิ มณีปุระ ได้เข้าไปร่วมงานที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง หลังจากจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยระหว่างเรียนได้ไปฝึกงานอยู่ที่สถานีวิจัยดอยปุย  ทำให้อาจารย์สืบศักดิ์ นวจินดา ,  ศาสตราจารย์ ปวิณ ปุณศรี ได้มองเห็นแววมุ่งมั่นในการทำงาน  จึงส่งตัวขึ้นไปช่วยงานพี่วินัย ตั้งแต่ปี 2517  การเดินทางขึ้นดอยในครั้งนั้น อาศัยรถแลนด์โรเวอร์ของสถานีวิจัยดอยปุย ไปส่งจนถึงบ้านหัวนา ซึ่งอยู่เชิงดอยอ่างขางหลังจากนั้นก็มีเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจตระเวณชายแดนมารับขึ้นไปส่งบนดอยอีกทีหนึ่ง  ภูมิประเทศของดอยอ่างขางจะมีลักษณะเป็นรูปอ่าง  มีลานกว้างไว้สำหรับจอด ฮ. ในสถานี  รอบๆสถานีจะมีบ้านพักของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 11 หลังด้วยกัน มีโรงครัว 1 หลัง และสโมสรอีก 1 หลัง ลักษณะบ้านเป็นแบบ  A Frame  คือหลังคาชนกันเป็นรูปตัว A  มุงด้วยหญ้าคา ส่วนฝาบ้านใช้ไม่ไผ่ทุบเป็นซีกเล็ก ๆ มัดต่อเนื่องกัน  เจ้าหน้าที่อยู่กันคนละหลัง  เช้าก็ไปเข้าแปลงงาน  เย็นก็มาทานข้าวกันที่สโมสร ซึ่งมีถาวร บัวชุ่ม (วอน) เป็นพ่อครัวจัดเตรียมไว้ให้ ชีวิตมีอยู่แค่นั้นเพราะบนนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้  มืดลงก็เงียบสงัด แต่ละบ้านจึงต้องมีเทียนไว้จุดให้ความสว่าง  ส่วนน้ำใช้ต่อท่อจากลำธารต้นน้ำบนภูเขามาใช้  น้ำที่นั่นจึงเย็นจัดเหมือนกับน้ำในตู้เย็นเลยทีเดียว





ในช่วงปี 2517  รัฐบาลไต้หวันได้ให้งบประมาณแก่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เพื่อปลูกทดลองไม้ผลเมืองหนาว อันได้แก่ ท้อ , แอปเปิล , สาลี่  เป็นเบื้องต้น รวมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไต้หวันมาให้คำแนะนำด้วยอีกทางหนึ่ง  แปลงทดลองที่ปลูกไม้ผลเมืองหนาวด้วยงบประมาณของรัฐบาลไต้หวันนี้ จึงได้เรียกกันว่า "สวนไต้หวัน" เพื่อให้เกียรติ์แก่เจ้าของทุน






นอกเหนือจากการให้งบประมาณดังกล่าวข้างต้น  รัฐบาลไต้หวันยังให้ทุนเจ้าหน้าที่ไปศึกษาดูงานที่ฟูจูซานฟาร์ม 1 ปี ฟาร์มนี้อยู่บนดอยสูงของประเทศไต้หวัน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองไทจุงและฮวาเรียน  ซึ่งสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศคล้ายคลึงกับอ่างขางมาก  ท่านศาสตราจารย์ปวิณ ปุณศรี  ได้ส่งวุฒิ มณีปุระ และเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน  คือ ถาวรรัตน์ ยอดศรี (แขก) และ วรพงษ์  เครือเขื่อนเพชร (อ้วน) ไปพร้อมกัน




ในช่วงที่กำลังจะกลับเมืองไทย  พายุไต้ฝุ่นได้ถล่มเกาะไต้หวันอย่างหนักอยู่ 2 วันเต็ม ๆ  ทำให้ถนนหนทางขาดหลายแห่ง รวมทั้งที่ฟูจูซานฟาร์ม  หินภูเขาถล่มลงมาทำให้ถนนขาด  ไม่สามารถเดินทางลงมาได้  รอจนหลายวันกว่าจะซ่อมแซมทางเสร็จและเดินทางกลับเมืองไทย

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไต้หวันอย่างต่อเนื่องตลอดมา จนกระทั่ง ปี 2518 ช่วงที่ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นเป็นรัฐบาล ได้เปิดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับจีนแผ่นดินใหญ่  ตัดความสัมพันธ์กับไต้หวัน เป็นผลให้ความช่วยเหลือจากรัฐบาลไต้หวันต้องหยุดชะงักไปอย่างเป็นทางการ   แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อโครงการหลวง จึงมีการสนับสนุนอย่างเงียบ ๆ อยู่บ้างในบางส่วน อย่างไรก็ตามงานทดลองที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ยังคงเดินหน้าต่อไปเพราะนอกเหนือจากไต้หวันแล้ว   ยังได้งบประมาณจากอีกหลายทางเช่น   USDA  ,  UN  เป็นต้น

การใช้ชีวิตบนดอยที่ห่างไกลความเจริญ เช่นที่อ่างขางในช่วงบุกเบิก  แม้จะมีความสุขสงบเป็นพื้นฐาน แต่ความกดดันจากภัยที่มองไม่เห็น  มีอยู่รอบด้าน และไม่อาจรู้ว่าจะมาถึงตัวเมื่อใด  มันสร้างความวิตกกังวลให้กับทุกชีวิตในสถานี ซึ่งมองไปรอบด้าน แลเห็นแต่ขุนเขา  เมื่อยามฟ้าสางทุกคนก็จะหายใจกันได้สดวก  แต่มืดลงเมื่อใด ก็จะต้องเริ่มระแวดระวังภัยและต้องคอยติดตามหาข่าว เพื่อป้องกันตัวเองอยู่เสมอ  เพราะห่างไกลเกินกว่าที่กฎหมายจะเข้าไปดูแลใกล้ชิด  และเจ้าหน้าที่ก็มีกันอยู่เพียงไม่กี่คน  จึงมีความโดดเดี่ยวซึ่งยากที่ใครจะรับรู้ได้หากไม่เข้าไปสัมผัสจริง  เหตุนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่วินัย ปั่นศิริ  เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ และทำให้วุฒิ มณีปุระ เข้าไปรับช่วงต่อเป็นหัวหน้าสถานีคนที่ 2 ของอ่างขาง นับตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา

โดยปกติสถานีอ่างขาง จะรับคนงานไทยใหญ่จากพื้นที่ใกล้เคียง คือรัฐฉานประเทศพม่า เข้ามาปฏิบัติงานในสถานีตามแปลงทดลองต่าง ๆ  รวมแล้วเกือบ 200 คน คนงานรับเหมาถางป่า ปลูกต้นไม้ ก็จะเป็นมูเซอร์ดำที่อาศัยอยู่รอบ ๆ อ่างขาง คนงานที่มากมายจากหลายกลุ่มเหล่านี้ ย่อมแน่นอนที่จะมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป การควบคุมให้อยู่ในสายตา จึงค่อนข้างยาก และมักจะมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ

ในครั้งหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่และคนงานในสถานีรวมประมาณ 7 คน เดินพลัดหลงเข้าไปในเขตตอนเหนือของบ้านนอแล ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยมูเซอร์แดง จึงถูกชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นระดมยิงตายไปรวม 3 คน ที่เหลือก็หนีกระเจิดกระเจิงกลับมาได้  จึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ตชด. จนสามารถช่วยกันกู้ศพทั้ง 3 กลับมายังฝั่งไทยได้สำเร็จ สถานการณ์เช่นนั้นกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมากทีเดียว  แต่อย่างไรก็ตามงานทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อ

อีกครั้งหนึ่งที่ระทึกใจของชาวดอยอ่างขาง เห็นจะเป็นเรื่องการบุกปล้นสถานี จากข่าวคราวที่เจ้าหน้าที่ในสถานีบอกกันต่อ ๆ ทำให้ทุกคนต้องเพิ่มการระมัดระวังตัว  เพราะคนงานที่เป็นชนเผ่าเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่จะยากจน จึงมีการงัดแงะเอาข้าวของในสถานีออกไปโดยไม่สามารถจับมือใครดมได้บ่อยครั้ง  และหลังจากนั้นไม่นาน สุรจิตต์ มะลิแก้ว(จาย) ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสถานี ก็ทราบข่าวจากคนงานด้วยกันว่าจะมีการเข้าปล้นสถานีในช่วงกลางคืน  คืนนั้นทั้งคืนเจ้าหน้าที่ก็ไม่เป็นอันนอน เฝ้าระวังกันจนเกือบสองยามจึงได้ตัว ซึ่งก็เป็นคนงานในสถานีนั่นเอง เหตุการณ์นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องเพิ่มการระวังตัวมากยิ่งขึ้น จนในครั้งหนึ่งซึ่งต้องเดินทางลงไปเบิกเงินจากธนาคารกรุงเทพ สาขาท่าแพ หลายหมื่นเพื่อมาจ่ายเงินเดือนคนงาน และตามปกติเป็นที่รู้กันว่าจะใช้เส้นทางเดินขึ้นทางบ้านเพอะ ก็ต้องสับเปลี่ยนเส้นทางไปทางบ้านม่วงชุมแทน  เพื่อป้องกันถูกดักปล้นกลางทาง

เมื่อประมาณปี 2522 เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ชาวดอยอ่างขางไม่อาจลืมได้  ก็คือตอนที่คณะกรรมการธิการเกษตร ได้ไปตรวจราชการชายแดน ด้วยเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ  ได้มาแวะเยี่ยมที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง  ในช่วงที่เดินทางกลับ  หลังจาก ฮ. ลำแรกบินผ่านไปได้แล้ว เกิดสภาพอากาศแปรปรวนกระทันหันบริเวณกิ่วลมเหนือหน่วยป่าไม้มีฝนและเมฆปิดบังทัศนวิสัยเป็นผลให้ ฮ. ลำหลังไม่สามารถบินผ่านไปได้ และเกิดอุบัติเหตุตกลงไปอยู่ในหุบเหว นักบินและคณะผู้โดยสารใน ฮ. ลำหลัง ซึ่งมีท่าน พล.อ.อ บัญชา เมฆวิชัย , พลตำรวจเอกกฤษณ์  สังขะทรัพย์ และคุณคล้าย ณ.พัทลุง ผู้ว่าราชการจังหวัด เสียชีวิตทั้งหมด การกู้ศพขึ้นจากเหวเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะมีฝนตกอยู่ตลอด และในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่อ่างขางหลายคนได้ร่วมกันอำนวยความสดวกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวณชายแดน และอาสาสมัครจากอำเภอฝางนับร้อยคนซึ่งเดินปูพรมจากเชิงเขาด้านล่าง ไต่ขึ้นมาจนถึงสันดอย ใช้เวลานานเกือบ 3 วัน จึงสามารถนำศพขึ้นมาได้ และนำไปพิสูจน์เอกลักษณ์ที่บ้านคุ้ม ใกล้ ๆ สถานีอ่างขาง

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาสถานีอ่างขาง  โดยในช่วงนั้นเริ่มมีถนนหนทางขึ้นดอย ทำให้สดวกสบายขึ้น  แต่เป็นเพียงถนนดินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อเกือบตลอดทาง พอโดนฝนก็จะลื่นเละต้องใช้โซ่พันล้อทั้ง 4 ล้อกันการลื่นไหล  การนั่งรถจึงไม่ต่างจากขี่ม้า แต่ก็นับว่ายังดีกว่าการเดินเท้าเป็นไหน ๆ  การสร้างถนนขึ้นดอยนี้ก็มีประวัติน่าสนใจ เป็นความพยายามของกรมป่าไม้ที่จะทำถนนขึ้นดอยให้  แต่ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด  จึงทำได้เพียงตามมีตามเกิด และต้องยกย่องนายผิน ซึ่งเป็นลูกจ้างกรมป่าไม้  ที่มีความอุตสาหะสูง  ขับรถตีนตะขาบตัดทางตั้งแต่ปางควายลัดเลาะไหล่เขา ลุยไปเรื่อยพร้อมกับลูกน้องเพียงคนเดียวที่เดินตามคอยช่วยเหลือกัน  ค่ำไหนก็กางเต้นท์นอนนั่น  ใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะตัดไปถึงอ่างขางได้  แต่ถนนของนายผิน บางช่วงก็ลาดชันและอันตรายเหลือเกิน  เจ้าหน้าที่ป่าไม้ซึ่งเป็นลูกน้องของพี่ฉัตรไชย รัตโนภาสซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาต้นน้ำบ้านหลวง  ขับรถเผลอลงเหวตายไป 3 คน  มาภายหลังกรมชลประทานมีโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบนดอย  จึงเริ่มมีการสร้างกันตามหลักวิชาการ เมื่อมีถนนหนทางสะดวกนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีงานทดลองก็สามารถขึ้นไปบนดอยได้บ่อยขึ้น  อาจารย์ปวิณ ปุณศรี เองท่านก็ขึ้นมาเกือบทุกเดือนเพื่อติดตามงานวิจัย




ในทุก ๆ ปี ในหลวงและพระราชินี จะทรงเสด็จไปเยี่ยมที่สถานีอ่างขางเพื่อติดตามโครงการตามพระราชดำริ การเสด็จมาของพระองค์เปรียบเสมือนความสว่างที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน  ไม่เพียงเฉพาะเจ้าหน้าที่ ๆ ปฏิบัติงานอยู่บนดอยเท่านั้น  แต่ชาวเขาทั้งหลายที่อาศัยอยู่รอบ ๆ อ่างขาง ก็มีความปลื้มปิติไม่ต่างกัน









"จะหลู" เป็นชาวเขาคนหนึ่งที่รักและเทิดทูนในหลวงอย่างมาก "จะหลู"เป็นผู้ใหญ่บ้านขอบด้ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆสถานีอ่างขาง  และที่หมู่บ้านขอบด้งนี้ โครงการหลวงได้เข้าไปส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนฝิ่น  "จะหลู" สามารถช่วยเหลือได้มากในการชักนำลูกบ้านให้เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชเมืองหนาวแทน "จะหลู" มีจิตใจผูกพันกับงานของโครงการหลวง  เมื่อครั้งที่โครงการหลวงจัดงานที่สวนอัมพร "จะหลู" ก็ได้รับเชิญให้มากรุงเทพด้วย น่าเสียดายที่ครั้งนั้นไม่มีใครนึกถึงเรื่องอาหารการกินของ"จะหลู"   จึงเกิดอาหารผิดสำแดง  พอกลับขึ้นดอย "จะหลู" ก็มีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง และเสียชีวิตในที่สุด  หลังจากนั้น "จะหมอ" ก็เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านแทน"จะหลู" ต่อไป





สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มีการพัฒนาคืบหน้าไปโดยลำดับอย่างต่อเนื่อง  ทั้งหัวหน้าสถานีและเจ้าหน้าที่ ๆ ปฏิบัติงานในสถานีก็มีการเปลี่ยนแปลงกันไปหลายชุด  ซึ่งทุกคนล้วนตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติงานสนองพระราชดำริและตอบแทนคุณแผ่นดินกันทั้งสิ้น  แม้จะยากลำบากสักเพียงใด  แต่คุ้มค่าแก่ชีวิตที่ได้เกิดมาชาติหนึ่ง  ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ.....

ชีวิตช่วงหนึ่งบนดอยอ่างขาง...........  จึงมีคุณค่าควรแก่การบันทึกไว้ในความทรงจำ....................

1 ความคิดเห็น:

  1. ด้วยจิตคารวะเหล่าผู้บุกเบิกสถานีเกษตรดอยอ่างขางทุกท่าน
    ขอคุณความดีหนุนนำดวงวิญญาณพี่วุฒิสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปคะ

    ตอบลบ