ณ.ครัวทับทิมทอง มีค.2554 |
เมื่อครั้งเยาว์วัย บุคคลกลุ่มนี้ได้อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ณ.บ้านหลังหนึ่งที่ทุกคนเรียกกันว่า "บ้านป้ารวม" บ้านหลังนั้นเป็นเสมือนหอพัก เป็นเสมือนบ้านรวมรัก เป็นเสมือนแหล่งหล่อหลอมปลูกฝังให้สมาชิกในบ้านเป็นคนดีในสังคม
เวลาผ่านไปหลายสิบปี สมาชิกในบ้านต่างก็แยกทางกันไปมีชิวิตตามทิศทางของตนเอง แต่ทุกคนล้วนประสพความสำเร็จในชีวิตทั้งสิ้น และเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม
เมื่อต้นเดือน มีค.2554 ทุกคนได้มาพบกันที่ครัวทับทิมทอง แหลมเหลว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ตามการนัดหมายของพี่เนี๊ยว (ดร.จารีต องคะสุวรรณ) และ พี่กะหร่อง (พรอนงค์ โฮริคาวา) ซึ่งเป็นหัวแรงสำคัญ ที่อยากให้มาพบปะกัน มาเล่าสู่กันฟังว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา เรื่องราวชีวิตของแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง ในวันนั้นจึงเป็นวันแห่งความทรงจำอีกวันหนึ่งของพวกเรา
ในวันนั้น เจ้เค่ย , กาญจนา รงคะประยูร พี่ใหญ่ของพวกเรา ได้เล่าถึงอดีตแต่หนหลังให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของ "บ้านป้ารวม" ว่าเกิดจากการที่ ญาติ ๆ และคนรู้จักไว้วางใจป้ารวม จึงฝากลูกหลานมาอยู่ด้วย ทำให้บ้านป้ารวมมีสภาพเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ว่าจะย้ายไปไหน ก็จะอพยพกันไปเป็นกลุ่มก้อน โดยจะมีป้ารวมเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว ฝึกฝนสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดี อยู่ในระเบียบวินัย และดำรงชีวิตกันอย่างเรียบง่าย อยู่กันอย่างข้าวหม้อแกงหม้อ จนปัจจุบันสมาชิกทุกคนของบ้านป้ารวม ได้แตกกิ่งก้านขยายสาขาไปอย่างมีคุณภาพ ตัวเจ้เค่ยเองหลังจากเกษียณอายุจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏ ฉะเชิงเทรา ก็ยังคงอยู่ที่ฉะเชิงเทรา หากเป็นไปได้เจ้เค่ยอยากให้มีการรวมตัวของสมาชิกเช่นนี้ต่อไปและพร้อมจะสนับสนุนทุกเมื่อ
น่าเสียดายที่วันนั้น ขาดพี่เนี๊ยว (ดร.จารีต องคะสุวรรณ) ที่เป็นแม่งานคนหนึ่งในการนัดพบกันไป ด้วยเหตุกระทันหันจากอุบัติเหตุที่ชะอำ ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวแทนที่จะมาพบกัน แต่พี่เนี๊ยวก็ยังฝากความระลึกถึงมายังพวกเราทุกคน ตัวพี่เนี๊ยวเอง หลังจากที่เกษียณจากตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ก็ได้มาบริหารงานต่อที่สมาคม YWCA จนปัจจุบัน แม้จะมีภาระการงานหนักอยู่อีกหลังเกษียณ แต่แรงสนับสนุนจากครอบครัวที่อบอุ่น พี่กำจร องคะสุวรรณ สามีและ บุตรทั้ง 2 จามรี และ รณวี ก็สามารถเป็นพลังให้ทำงานได้ไปอีกนาน บุตรทั้ง 2 ต่างก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว คนโตของพี่เนี๊ยว หมอจามรี ปัจจุบันเป็นทันตแพทย์ที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน และมีบุตรแล้ว 1 คน
พี่เหน่ง , ศิรี ศิริผันแก้ว ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตนให้ฟังว่าตั้งแต่จบมา ก็ได้สอนหนังสือที่ รร.อรุณประดิษฐ์ , วัฒนาวิทยาลัย และ ม.บูรพา บางแสน ตามลำดับจนเกษียณ พี่เหน่งใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คุณประมวล ศิริผันแก้ว สามี ทำงานอยู่ที่ สสวท. มีบุตร 2 คน คือปุ๋ม ลูกชายคนโต ซึ่งปัจจุบันแต่งงานไปแล้วกับคนไทยที่อยู่อเมริกา เขาทั้งสองยังอยู่อเมริกากันต่อไป และผึ้งลูกสาวคนเล็ก ที่ปัจจุบันจบปริญญาเอกแล้ว ดร.ผึ้ง ขณะนี้สอนหนังสืออยู่ที่มหิดล ศาลายา เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่อง DNA ของช้าง พี่เหน่งได้รับความสมหวังจากลูกทั้งสองเป็นอย่างมาก จนปัจจุบันชีวิตไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว
พี่ยัค , พยัคฆ์ วรศิริ เรื่องราวชีวิตของพี่ยัคบอกว่า ชีวิตของตนเองผูกพันกับความเป็นครูอย่างมาก ตลอดชีวิตได้ไปสอนตามโรงเรียนต่าง ๆ นับตั้งแต่ รร.อรุณประดิษฐ์ เพชรบุรี , รร. พรหมมานุสรณ์ เพชรบุรี และยังย้ายไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น พิษณุโลก , ปราจีนบุรี , พิจิตร และ กทม. หลังจากเกษียณอายุ ก็ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับชุลี วรศิริ ภรรยา โดยยึดแนวทางตามพระราชดำริ ทำนาเกลือ ปลูกต้นไม้ ไปวัด พี่ยัคมีบุตร 3 คน แต่งงานไปแล้ว 1 คน
พี่ปี๊ด , อุไรวรรณ จันทร์ผ่อง ผู้มีเรื่องราวชีวิตค่อนข้างจะโลดโผนกว่าคนอื่น พี่ปี๊ดเล่าว่า ระหว่างที่เรียนอรุณประดิษฐ์ ได้ทุน AFS ไปศึกษาที่อเมริกา 1 ปี หลังจากจบจากอรุณประดิษฐ์ ก็เอนทรานซ์ติดคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบจากจุฬา ฯ ได้เข้าทำงานที่ USOM (US government agency in Bangkok) และ Pan am ตามลำดับ คุณอุดร จันทร์ผ่อง สามี จบจากคณะวิศว จุฬา ได้ทุนไปเรียนต่ออเมริกา ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่ Pan am จึงได้หาลู่ทางย้ายไปอยู่อเมริกาได้สำเร็จ และมีชีวิตครอบครัวที่อเมริกาจนปัจจุบัน มีบุตรสาว 2 คน ชาย 1 คน ขณะนี้ยังทำงานอยู่ แต่จะลาพักร้อนกลับเมืองไทยทุกปี และช่วงเวลาที่พี่ปี๊ดกลับเมืองไทย จะเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกบ้านป้ารวม จะถือโอกาสนัดพบกันต่อไป
เปี๊ยก , สุริยัน วรศิริ ได้เล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟังว่า จะโลดโผนก็ไม่ใช่ แต่ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามฟ้าลิขิต เปี๊ยกเรียนจบกฏหมาย จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำอาชีพทนายความอยู่ช่วงหนึ่ง แต่รักที่จะมีชีวิตในท้องถิ่นมากกว่า จึงทิ้งอาชีพทนายความ หันมาทำนาเกลือ และเลี้ยงหอยแครง จนมีรายได้เป็นก้อนเป็นกำ ฟ้าลิขิตให้เปี๊ยก มีครอบครัวถึง 3 ครั้ง และมีบุตรกับทุกครอบครัว รวม 4 คนด้วยกัน บุตร 2 คนเรียนจบและทำงานกันไปแล้ว เหลือเพียงคนเล็ก 2 คน ยังอยู่ในวัยศึกษา ชีวิตวัย 62 ของเปี๊ยกจึงอยู่ได้อย่างมีความสุขแล้ว
นั่นคือเรื่องชีวิตของลูก ๆ ป้ารวมเพียงส่วนหนึ่ง ป้ารวมมีลูกทั้งหมดถึง 7 คน แต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกทุกคนให้เป็นคนดีได้ ตลอดชีวิตของป้ารวมจึงเป็นภาระอันหนักยิ่ง แต่กระนั้นป้ารวมยังเลี้ยงดูหลาน ๆ อีกหลายคน เรื่องราวชีวิตของแต่ละคน ได้ถูกถ่ายทอดออกมาตามลำดับ
ปี๊ด , สมยศ สรรพอุดม เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า เท่าที่จำความได้ ตอนเล็กๆไปเรียนที่หัวหิน พักอยู่กับอี๊เรณู จนโรงเรียนหยุดกิจการ จึงย้ายมาเรียนชั้นประถม 4 ที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ โดยพักอยู่กับเจ้เค่ย ต่อมาจึงมารวมกันที่หอพักอี๊รวม เมื่อจบชั้นมัธยม 6 สอบเข้าเรียนได้ที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา และเอนทรานส์ติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบมาก็สอบเข้าทำงานได้ที่ สำนักงาน กพ. และอยู่จนเกษียณราชการ ในช่วงที่อยู่ สำนักงาน กพ. ถูกส่งไปดูแลนักเรียนไทยที่อเมริกา 4 ปี กลับมาแต่งงานกับ ระพีพรรณ สรรพอุดม หลังจากแต่งงาน ภรรยาได้ไปทำงานที่อเมริกาอีก 4 ปี ปี๊ดจึงต้องกลับไปอเมริกาอีกครั้ง รวมแล้ว 8 ปี แดนนี่ ดนุพงษ์ สรรพอุดมลูกชายคนเดียวจึงเกิดที่อเมริกา ปัจจุบันแดนนี่เรียนจบแล้วจาก คณะวิศวกรรม แผนกเครื่องกล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชีวิตหลังเกษียณของปี๊ดจึงมีความสุขแบบเรียบง่ายตามแนวทางที่อี๊รวมได้อบรมเช่นกัน
แอน , จารุณี มณีปุระ เล่าถึงความทรงจำในอดีตว่า อาศัยอยู่บ้านอี๊รวมพร้อมกับปี๊ดและพี่อู้ด ในช่วงที่เรียนอยู่อรุณประดิษฐ์ เพราะแม่ห่วงเรื่องการเดินทาง ไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก มีความสุขกับการได้อยู่กับพี่ ๆ หลายคนในบ้าน จนกระทั่งพี่อู้ดจบจากจุฬา และมาสอนอยู่ที่อรุณประดิษฐ์จึงได้ไปอยู่กับพี่อู้ดที่บ้านพักครูหลังโรงเรียน จบจากอรุณประดิษฐ์ก็ไปเรียนต่อที่ โรงเรียนสมถวิลราชดำริ และเอนทรานส์ได้ที่คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์หลังจากจบมา ก็เข้าทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด จะเกษียณใน ธค.2554 มีบุตร 2 คนกับวุฒิ มณีปุระ สามีที่เรียนอยู่เกษตรศาสตร์ด้วยกัน และปัจจุบันบุตรทั้ง 2 ทำงานกันหมดแล้ว ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายตามวิถีทางของตนที่อี๊รวมได้ปลูกฝังมา
พี่ติ๊ก , สุพัตรา สันติเทวกุล (สนิมทอง) เล่าถึงอดีตให้ฟังว่า อยู่กับป้ารวมมาหลายปี สนุกจนติดใจ และยังคิดถึงอดีตอยู่ จบจาก รร.อรุณประดิษฐ์ ก็ไปเรียนต่อที่คณะเภสัช มหิดล ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง ผจก.บริษัทเจนเนอรัลดรักเฮ้าส์ และคงจะทำต่อไปจนกว่าจะไม่ไหว สามีคือคุณวีระพงศ์ สันติเทวกุล จบวิศวจากเยอรมัน เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่พระนครเหนืออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะผันตัวเองมาร่วมงานกับ บ.ชิโนทัย ทำโครงการหนองงูเห่า มีบุตร 2 คน เป็นวิศวกรทั้งคู่ ชีวิตดีเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2540 พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ stage 2 จึงทำการรักษา โดยผ่าตัดออกและทำเคมีบำบัด แต่ทำไม่ครบ course ทนไม่ไหวจึงหยุด หันมาพึ่งแพทย์ทางเลือก ดื่มน้ำชีวจิต และทำดีท๊อกซ์ด้วยกาแฟ ควบคู่ไปกับการทำสมาธิกับหลวงพ่อวิริยัง ที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิทย์ซอย 101 ปัจจุบันสภาพชิวิตกลับมาเป็นเช่นปกติเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว พี่ติ๊กเล่าว่า ธรรมชาติสามารถจรรโลงชีวิตได้จริง ๆ เรื่องราวชีวิตของพี่ติ๊กน่าสนใจ และน่าจะเป็นแนวทางให้กับอีกหลาย ๆ คนที่อาจจะประสพความเจ็บป่วยในลักษณะนี้
ปรีดา , ปรีดา ชินะภูติ ปรีดา เล่าว่าแต่เดิม นามสกุล สนิมทอง แต่ตัดสินใจเปลี่ยนเป็น ชินะภูติ เพราะเห็นว่าเป็นนามสกุลที่เป็นมงคลกว่า อยู่กับป้ารวมมาตั้งแต่เล็ก ๆ พร้อม ๆ กับพี่ติ๊ก ชีวิตการทำงานแห่งสุดท้ายอยู่ที่บริษัทภัทรกล(มหาชน)จำกัด แต่ได้ลาออกก่อนเกษียณ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับ ดร.อมรา แพเจริญ ภรรยาซึ่งเป็นคนบางขุนไทรด้วยกัน ปัจจุบันภรรยายังคงทำงานอยู่ที่กรมวิชาการ กระทรวงเกษตร มีบุตร 2 คน อายุ 21 และ 19 ปี ตามลำดับ
ตู๋ตี๋ , พรอนงค์ โฮริคาวา (นิยมค้า) เล่าเรื่องราวของตนว่า มีชื่อเล่น ตู๋ตี๋ แต่เพื่อน ๆ เรียกว่า "กะหร่อง" เพราะว่าผอมเสียจนเป็นเส้นตรง พี่กะหร่องมีพี่น้องร่วมมารดาอีก 4 คน และต่างมารดาอีก 2 คน รวมเป็น 7 คน อาศัยอยู่กับป้ารวมในช่วงหนึ่ง พร้อมกับน้อง ๆ คือ ตั้นและต่าง พี่กะหร่องมีเส้นทางชีวิตที่ฟ้าลิขิตมาก หลังจากที่เรียบจบจากอรุณประดิษฐ์ ก็เข้าเรียนที่เตรียมอุดมศึกษา เอนทรานส์ติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น(มอมบุโช) ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโทโฮขุ เมืองเซนได และฮิโตษุบาชิ เมืองโตเกียว พบรักกับคนญี่ปุ่นด้วยกัน ปัจจุบันจึงใช้นามสกุล โฮริคาวา มีบุตร 2 คนอายุ 33 และ 31 ปี ตามลำดับ ลูกสาวคนโตเรียนอยู่ที่ Duke University, North Carolina อเมริกา ส่วนคนเล็กแต่งงานแล้วกับคนญี่ปุ่น อยู่ที่คาวาซากิ จากความรู้ทางภาษาญี่ปุ่นที่มีทำให้มีโอกาสสร้างผลงานชิ้นโบว์แดง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของคนไทย นั่นคืองานแปลเรื่อง "อิกคิวซัง" การ์ตูนเด็กฉลาดเฉลียวของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ และทั่วทุกวัย และอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันคือเรื่อง "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" ซึ่งเป็นผลงานที่ให้แนวคิดแก่คุณแม่มือใหม่ โด่งดังไม่แพ้ "อิกคิวซัง" นอกจากนี้ยังมีผลงานแปล ลงในคอลัมน์ "อย่ารอจนสาย" นิตยสารหมอชาวบ้าน วางตลาดรายเดือน ปัจจุบันแม้จะอายุ 62 ปีแล้ว แต่ก็ยังทำงานหนักในตำแหน่งรองอธิการ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งลงนามก่อตั้งโดย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา และได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท. และได้รับทุนการศึกษาจากหอการค้าญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย สถาบันนี้สอนด้านการบริหาร , วิศวกรรม , สารสนเทศ ระดับปริญญาตรีและโท เรื่องราวชีวิตของพี่กะหร่องล้วนมีคุณค่าต่อการจดจำในทุกย่างก้าวทีเดียว ในวันที่พบกัน พี่กะหร่องได้นำผลงานชิ้นล่าสุด มาแจกให้ทุกคนอย่างทั่วถึง คือหนังสือเด็กเรื่อง "แป้งร่ำทำนาเกลือ"
ตั้น , นภดล นิยมค้า ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตนให้ฟังว่า อยู่บ้านป้ารวมช่วงหนึ่งพร้อม ๆ กับพี่น้อง ในช่วงที่เรียนอยู่อรุณประดิษฐ์ หลังจากนั้นไปเรียนต่อที่เทคนิคราชบุรีจนจบ กลับมาอยู่บางตะบูน บ้านแหลม ใช้ความรู้ที่เรียนมา สร้างกิจการอู่ต่อเรือ และริเริ่มสร้างใบพัดเรือ เพื่อให้ชาวประมงได้นำไปใช้ประโยชน์ ปัจจุบันมีกิจการค้าเกลือในนาม safepack อีกด้านหนึ่ง และด้วยความที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ จึงได้รับเลือกจากชาวบางตะบูน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ณ.วันนี้ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักผู้ใหญ่ตั้น แห่งลุ่มแม่น้ำบางตะบูนคนนี้ และยังเป็นเจ้าของครัวทับทิมทอง ที่พวกเราใช้เป็นที่พบปะกันในครั้งนี้อีกด้วย ตั้นมีครอบครัวที่น่ารัก และมีบุตรแล้ว 3 คน ทุกคนล้วนมีชีวิตที่ดี ทำให้วันนี้ของตั้น สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข
ต่าง , ธราดล นิยมค้า เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บ้านป้ารวมเมื่อยังเด็ก ต่างเล่าว่า เมื่อจบจากอรุณประดิษฐ์ ก็ไปเรียนต่อที่เทคนิคราชบุรี จบมาก็ทำกิจการส่วนตัวทันที เป็นเจ้าของคานเรือ ที่บางตะบูนนั่นเอง ต่างเป็นคนหนุ่มที่แม้จะดูเหมือนเหนียมอาย แต่ก็มีความเป็นตัวเองสูง จึงได้รับความเห็นชอบจากชาวบางตะบูนให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และเป็นสมาชิกสภาจังหวัดเพชรบุรี อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับ ประนอม นิยมค้า ภรรยาคู่ใจ จึงลาออกจากงานการเมืองทั้งหมดแล้ว ต่างมีบุตร 3 คน มีกิจการงานเป็นของตัวเองแล้วทั้งหมด
รัส , จำรัส พึ่งแพง เล่าเรื่องราวชีวิตว่าเรียบง่ายยิ่งกว่าใคร ๆ จำรัส อาศัยอยู่บ้านป้ารวมเมื่อตอนเด็ก ๆ ในช่วงที่อยู่อรุณประดิษฐ์ กับเป๋ น้องชาย และพี่ลัดดา พี่สาลี่ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อที่อื่น แต่ในที่สุดก็กลับมารับช่วงกิจการประมงที่บ้านต่อ ปัจจุบันทำอาชีพประมงเต็มตัวกับประภาพงษ์ พึ่งแพง ภรรยา มีเรือประมงส่วนตัวชื่อเอกชัย มีบุตรแล้ว 2 คน คนเล็กเป็นหมออยู่ โรงพยาบาลกลาง
จ้อย , จ้อย คุ้มศิริ ที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าไอ้จ้อย เล่าว่าอาศัยอยู่กับป้ารวม ช่วงที่เรียนอรุณประดิษฐ์ จนถึง ม.3 ก็ลาออกมาทำกิจการประมงซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว ปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว กับ เสน่ห์ คุ้มศิริ คนบ้านแหลมด้วยกัน มีบุตร 1 คน ทำงานแล้วที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นช่างไฟฟ้า ชีวิตจ้อยสมบูรณ์แบบตามวิถีคนชนบท
จะเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคน มีความหลากหลาย ตามหนทางที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทุกคนได้รับการอบรมปลูกฝังจากป้ารวม คือความดีที่เป็นพื้นฐานของชีวิต จึงทำให้ทุกคนล้วนประสพความสำเร็จกันทั้งสิ้น
ขอบคุณป้ารวม ที่ช่วยดูแลและอบรม สั่งสอนพวกเราทุกคน....................เราจะพบกันอีกครั้งในปี 2555
11 มีค.2555 คือวันที่มาพบกันอีกครั้ง ตามการนัดหมาย ที่ครัวทับทิมทอง ของผู้ใหญ่ตั้นเช่นเดิม แต่วันนี้เรามีสมาชิกบ้านป้ารวมเพิ่มมาอีก 2 คน คือ พี่เนี๊ยว ( ดร.จารีต องคสุวรรณ) และ เล็ก (ตระการพรรณ ยี่สาร) วันนั้น ฝนตกอย่างหนัก แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด พวกเราทุกคนมาพบกันตามการนัดหมาย ความยินดีจากการพบกัน จึงเป็นที่ปรากฏแก่ทุกคน โดยเฉพาะในการพบกันปีนี้ มีสิ่งที่จะต้องจดจำเพิ่มเติมอีกหลายประการ นั่นคือ
เล็ก (ตระการพรรณ ยี่สาร) ที่เคยอยู่ด้วยกันที่บ้านป้ารวมเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้นำผลงานของตนเอง ซึ่งเป็นหนังสือ "ตระกูลยี่สาร" รวบรวมประวัติ ความเป็นมาของครอบครัวยี่สารไว้ มาแจกพวกเราทุกคน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีคุณค่า ที่น่าภาคภูมิใจ และควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพวกเราด้วย ทุกคนที่ได้รับต่างก็ปลื้มปิติ และชื่นชมในความสามารถของเล็ก สมาชิกคนหนึ่งของบ้านป้ารวม ซึ่งในครั้งนั้นมาอยู่กับป้ารวมทั้ง 3 คนพี่น้อง คือ เพิ่มพล - สุมนมาลย์- ตระการพรรณ ยี่สาร
ในวันนั้น พี่กะหร่อง ได้นำเพื่อนมาด้วย 2 คน ๆ หนึ่งคือ คุณเบญมาศ คำบุญมี ซึ่งเป็นเจ้าของรูปภาพ ในหนังสือเด็กเรื่อง "แป้งร่ำทำนาเกลือ" ที่พี่กะหร่องได้นำมาแจกให้พวกเราเมื่อปี 2554 ในปีนี้ได้นำตัวเป็น ๆ มาให้เห็น จึงนับเป็นโชคดีของสมาชิกบ้านป้ารวมเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นคนที่มีความสามารถมือฉกรรจ์ในการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพวาดอย่างสมจริง และอีกคนหนึ่งคือพี่ติ๊ก เพื่อนร่วมรุ่น ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬา ฯ มาร่วมเป็นสักขีพยาน ในภาระกิจเพิ่มเติมที่มีคุณค่ายิ่ง คือ
การมอบทุนการศึกษา ให้แก่นักเรียน ที่ยากจน ประสพความเดือดร้อนทางการเงิน จำนวน 10,000.- บาท ในนามของศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬา ซึ่งนักเรียนดังกล่าว มาพร้อมมารดา เพื่อรับทุนนี้ ด้วยความปลิ้มปิติยินดี..
นี่คือความภูมิใจของพวกเรา ความภูมิใจของสมาชิกในบ้าน ที่เจ้เค่ยบอกว่าได้แตกกิ่งก้านขยายสาขาออกไปนั้น บัดนี้ทุกกิ่งก้านมีความมั่นคง แข็งแรง แผ่ร่มเงาไปทั่วทุกทิศได้ เพราะเรามีรากแก้วที่แข็งแรง จากการอบรมปลูกฝัง ของป้ารวม มาด้วยกันทั้งสิ้น
จึงต้องขอขอบคุณป้ารวมอีกครั้ง..ด้วยความจริงใจ..จาก สมาชิก บ้านป้ารวม