บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

ป้า....รวม...ญาติ




ณ.ครัวทับทิมทอง มีค.2554

เมื่อครั้งเยาว์วัย  บุคคลกลุ่มนี้ได้อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน  ณ.บ้านหลังหนึ่งที่ทุกคนเรียกกันว่า "บ้านป้ารวม"  บ้านหลังนั้นเป็นเสมือนหอพัก  เป็นเสมือนบ้านรวมรัก  เป็นเสมือนแหล่งหล่อหลอมปลูกฝังให้สมาชิกในบ้านเป็นคนดีในสังคม

เวลาผ่านไปหลายสิบปี สมาชิกในบ้านต่างก็แยกทางกันไปมีชิวิตตามทิศทางของตนเอง  แต่ทุกคนล้วนประสพความสำเร็จในชีวิตทั้งสิ้น  และเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม

เมื่อต้นเดือน มีค.2554  ทุกคนได้มาพบกันที่ครัวทับทิมทอง   แหลมเหลว   อ.บ้านแหลม  จ.เพชรบุรี  ตามการนัดหมายของพี่เนี๊ยว (ดร.จารีต องคะสุวรรณ) และ พี่กะหร่อง (พรอนงค์ โฮริคาวา) ซึ่งเป็นหัวแรงสำคัญ  ที่อยากให้มาพบปะกัน  มาเล่าสู่กันฟังว่า หลายสิบปีที่ผ่านมา  เรื่องราวชีวิตของแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง   ในวันนั้นจึงเป็นวันแห่งความทรงจำอีกวันหนึ่งของพวกเรา

ในวันนั้น เจ้เค่ย , กาญจนา รงคะประยูร  พี่ใหญ่ของพวกเรา ได้เล่าถึงอดีตแต่หนหลังให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของ "บ้านป้ารวม" ว่าเกิดจากการที่ ญาติ ๆ และคนรู้จักไว้วางใจป้ารวม  จึงฝากลูกหลานมาอยู่ด้วย  ทำให้บ้านป้ารวมมีสภาพเป็นครอบครัวใหญ่  ไม่ว่าจะย้ายไปไหน ก็จะอพยพกันไปเป็นกลุ่มก้อน  โดยจะมีป้ารวมเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว ฝึกฝนสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดี  อยู่ในระเบียบวินัย  และดำรงชีวิตกันอย่างเรียบง่าย  อยู่กันอย่างข้าวหม้อแกงหม้อ จนปัจจุบันสมาชิกทุกคนของบ้านป้ารวม ได้แตกกิ่งก้านขยายสาขาไปอย่างมีคุณภาพ  ตัวเจ้เค่ยเองหลังจากเกษียณอายุจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏ ฉะเชิงเทรา  ก็ยังคงอยู่ที่ฉะเชิงเทรา  หากเป็นไปได้เจ้เค่ยอยากให้มีการรวมตัวของสมาชิกเช่นนี้ต่อไปและพร้อมจะสนับสนุนทุกเมื่อ

น่าเสียดายที่วันนั้น ขาดพี่เนี๊ยว (ดร.จารีต องคะสุวรรณ) ที่เป็นแม่งานคนหนึ่งในการนัดพบกันไป ด้วยเหตุกระทันหันจากอุบัติเหตุที่ชะอำ ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวแทนที่จะมาพบกัน แต่พี่เนี๊ยวก็ยังฝากความระลึกถึงมายังพวกเราทุกคน ตัวพี่เนี๊ยวเอง หลังจากที่เกษียณจากตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน  ก็ได้มาบริหารงานต่อที่สมาคม YWCA  จนปัจจุบัน แม้จะมีภาระการงานหนักอยู่อีกหลังเกษียณ  แต่แรงสนับสนุนจากครอบครัวที่อบอุ่น พี่กำจร องคะสุวรรณ สามีและ บุตรทั้ง 2 จามรี และ รณวี ก็สามารถเป็นพลังให้ทำงานได้ไปอีกนาน  บุตรทั้ง 2 ต่างก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว  คนโตของพี่เนี๊ยว หมอจามรี ปัจจุบันเป็นทันตแพทย์ที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน และมีบุตรแล้ว 1 คน

พี่เหน่ง , ศิรี ศิริผันแก้ว  ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตนให้ฟังว่าตั้งแต่จบมา  ก็ได้สอนหนังสือที่ รร.อรุณประดิษฐ์ , วัฒนาวิทยาลัย และ ม.บูรพา บางแสน ตามลำดับจนเกษียณ  พี่เหน่งใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย  คุณประมวล ศิริผันแก้ว สามี ทำงานอยู่ที่ สสวท.  มีบุตร 2 คน  คือปุ๋ม ลูกชายคนโต ซึ่งปัจจุบันแต่งงานไปแล้วกับคนไทยที่อยู่อเมริกา  เขาทั้งสองยังอยู่อเมริกากันต่อไป  และผึ้งลูกสาวคนเล็ก ที่ปัจจุบันจบปริญญาเอกแล้ว  ดร.ผึ้ง ขณะนี้สอนหนังสืออยู่ที่มหิดล ศาลายา เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่อง DNA ของช้าง  พี่เหน่งได้รับความสมหวังจากลูกทั้งสองเป็นอย่างมาก  จนปัจจุบันชีวิตไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว

พี่ยัค , พยัคฆ์ วรศิริ  เรื่องราวชีวิตของพี่ยัคบอกว่า ชีวิตของตนเองผูกพันกับความเป็นครูอย่างมาก   ตลอดชีวิตได้ไปสอนตามโรงเรียนต่าง ๆ   นับตั้งแต่ รร.อรุณประดิษฐ์  เพชรบุรี , รร. พรหมมานุสรณ์ เพชรบุรี และยังย้ายไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น พิษณุโลก , ปราจีนบุรี , พิจิตร  และ กทม. หลังจากเกษียณอายุ  ก็ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับชุลี วรศิริ ภรรยา โดยยึดแนวทางตามพระราชดำริ   ทำนาเกลือ  ปลูกต้นไม้  ไปวัด  พี่ยัคมีบุตร 3 คน แต่งงานไปแล้ว 1 คน 

พี่ปี๊ด , อุไรวรรณ  จันทร์ผ่อง   ผู้มีเรื่องราวชีวิตค่อนข้างจะโลดโผนกว่าคนอื่น  พี่ปี๊ดเล่าว่า  ระหว่างที่เรียนอรุณประดิษฐ์ ได้ทุน AFS  ไปศึกษาที่อเมริกา  1 ปี  หลังจากจบจากอรุณประดิษฐ์  ก็เอนทรานซ์ติดคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบจากจุฬา ฯ  ได้เข้าทำงานที่  USOM  (US government agency in Bangkok)   และ  Pan am   ตามลำดับ  คุณอุดร  จันทร์ผ่อง สามี จบจากคณะวิศว จุฬา  ได้ทุนไปเรียนต่ออเมริกา ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่  Pan am  จึงได้หาลู่ทางย้ายไปอยู่อเมริกาได้สำเร็จ และมีชีวิตครอบครัวที่อเมริกาจนปัจจุบัน มีบุตรสาว 2 คน ชาย 1 คน  ขณะนี้ยังทำงานอยู่  แต่จะลาพักร้อนกลับเมืองไทยทุกปี  และช่วงเวลาที่พี่ปี๊ดกลับเมืองไทย จะเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกบ้านป้ารวม จะถือโอกาสนัดพบกันต่อไป

เปี๊ยก , สุริยัน วรศิริ  ได้เล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟังว่า จะโลดโผนก็ไม่ใช่  แต่ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามฟ้าลิขิต  เปี๊ยกเรียนจบกฏหมาย จากคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ทำอาชีพทนายความอยู่ช่วงหนึ่ง  แต่รักที่จะมีชีวิตในท้องถิ่นมากกว่า  จึงทิ้งอาชีพทนายความ  หันมาทำนาเกลือ และเลี้ยงหอยแครง จนมีรายได้เป็นก้อนเป็นกำ  ฟ้าลิขิตให้เปี๊ยก มีครอบครัวถึง 3 ครั้ง และมีบุตรกับทุกครอบครัว รวม 4 คนด้วยกัน  บุตร 2 คนเรียนจบและทำงานกันไปแล้ว  เหลือเพียงคนเล็ก 2 คน ยังอยู่ในวัยศึกษา ชีวิตวัย 62 ของเปี๊ยกจึงอยู่ได้อย่างมีความสุขแล้ว

นั่นคือเรื่องชีวิตของลูก ๆ ป้ารวมเพียงส่วนหนึ่ง  ป้ารวมมีลูกทั้งหมดถึง 7 คน  แต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกทุกคนให้เป็นคนดีได้ ตลอดชีวิตของป้ารวมจึงเป็นภาระอันหนักยิ่ง แต่กระนั้นป้ารวมยังเลี้ยงดูหลาน ๆ อีกหลายคน  เรื่องราวชีวิตของแต่ละคน ได้ถูกถ่ายทอดออกมาตามลำดับ

ปี๊ด , สมยศ  สรรพอุดม  เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า  เท่าที่จำความได้  ตอนเล็กๆไปเรียนที่หัวหิน พักอยู่กับอี๊เรณู จนโรงเรียนหยุดกิจการ จึงย้ายมาเรียนชั้นประถม 4 ที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ โดยพักอยู่กับเจ้เค่ย ต่อมาจึงมารวมกันที่หอพักอี๊รวม  เมื่อจบชั้นมัธยม  6  สอบเข้าเรียนได้ที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา  และเอนทรานส์ติดคณะรัฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   จบมาก็สอบเข้าทำงานได้ที่ สำนักงาน กพ. และอยู่จนเกษียณราชการ ในช่วงที่อยู่ สำนักงาน กพ. ถูกส่งไปดูแลนักเรียนไทยที่อเมริกา 4 ปี กลับมาแต่งงานกับ ระพีพรรณ สรรพอุดม หลังจากแต่งงาน  ภรรยาได้ไปทำงานที่อเมริกาอีก 4  ปี ปี๊ดจึงต้องกลับไปอเมริกาอีกครั้ง  รวมแล้ว 8 ปี  แดนนี่ ดนุพงษ์ สรรพอุดมลูกชายคนเดียวจึงเกิดที่อเมริกา  ปัจจุบันแดนนี่เรียนจบแล้วจาก คณะวิศวกรรม แผนกเครื่องกล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชีวิตหลังเกษียณของปี๊ดจึงมีความสุขแบบเรียบง่ายตามแนวทางที่อี๊รวมได้อบรมเช่นกัน

แอน , จารุณี  มณีปุระ เล่าถึงความทรงจำในอดีตว่า อาศัยอยู่บ้านอี๊รวมพร้อมกับปี๊ดและพี่อู้ด ในช่วงที่เรียนอยู่อรุณประดิษฐ์ เพราะแม่ห่วงเรื่องการเดินทาง  ไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก  มีความสุขกับการได้อยู่กับพี่ ๆ หลายคนในบ้าน  จนกระทั่งพี่อู้ดจบจากจุฬา  และมาสอนอยู่ที่อรุณประดิษฐ์จึงได้ไปอยู่กับพี่อู้ดที่บ้านพักครูหลังโรงเรียน จบจากอรุณประดิษฐ์ก็ไปเรียนต่อที่ โรงเรียนสมถวิลราชดำริ  และเอนทรานส์ได้ที่คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์หลังจากจบมา ก็เข้าทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด  จะเกษียณใน ธค.2554  มีบุตร 2 คนกับวุฒิ  มณีปุระ สามีที่เรียนอยู่เกษตรศาสตร์ด้วยกัน  และปัจจุบันบุตรทั้ง 2  ทำงานกันหมดแล้ว  ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายตามวิถีทางของตนที่อี๊รวมได้ปลูกฝังมา

พี่ติ๊ก ,  สุพัตรา สันติเทวกุล (สนิมทอง)  เล่าถึงอดีตให้ฟังว่า อยู่กับป้ารวมมาหลายปี  สนุกจนติดใจ และยังคิดถึงอดีตอยู่  จบจาก รร.อรุณประดิษฐ์ ก็ไปเรียนต่อที่คณะเภสัช มหิดล  ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง ผจก.บริษัทเจนเนอรัลดรักเฮ้าส์  และคงจะทำต่อไปจนกว่าจะไม่ไหว  สามีคือคุณวีระพงศ์  สันติเทวกุล จบวิศวจากเยอรมัน เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่พระนครเหนืออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะผันตัวเองมาร่วมงานกับ บ.ชิโนทัย  ทำโครงการหนองงูเห่า มีบุตร 2 คน เป็นวิศวกรทั้งคู่  ชีวิตดีเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2540 พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ stage 2  จึงทำการรักษา โดยผ่าตัดออกและทำเคมีบำบัด  แต่ทำไม่ครบ course ทนไม่ไหวจึงหยุด หันมาพึ่งแพทย์ทางเลือก ดื่มน้ำชีวจิต และทำดีท๊อกซ์ด้วยกาแฟ  ควบคู่ไปกับการทำสมาธิกับหลวงพ่อวิริยัง ที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิทย์ซอย 101  ปัจจุบันสภาพชิวิตกลับมาเป็นเช่นปกติเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว พี่ติ๊กเล่าว่า ธรรมชาติสามารถจรรโลงชีวิตได้จริง ๆ   เรื่องราวชีวิตของพี่ติ๊กน่าสนใจ และน่าจะเป็นแนวทางให้กับอีกหลาย ๆ คนที่อาจจะประสพความเจ็บป่วยในลักษณะนี้

ปรีดา , ปรีดา ชินะภูติ   ปรีดา เล่าว่าแต่เดิม นามสกุล สนิมทอง แต่ตัดสินใจเปลี่ยนเป็น ชินะภูติ เพราะเห็นว่าเป็นนามสกุลที่เป็นมงคลกว่า อยู่กับป้ารวมมาตั้งแต่เล็ก ๆ  พร้อม ๆ กับพี่ติ๊ก ชีวิตการทำงานแห่งสุดท้ายอยู่ที่บริษัทภัทรกล(มหาชน)จำกัด แต่ได้ลาออกก่อนเกษียณ  ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับ ดร.อมรา แพเจริญ ภรรยาซึ่งเป็นคนบางขุนไทรด้วยกัน  ปัจจุบันภรรยายังคงทำงานอยู่ที่กรมวิชาการ  กระทรวงเกษตร  มีบุตร 2 คน อายุ 21 และ 19 ปี ตามลำดับ

ตู๋ตี๋ , พรอนงค์  โฮริคาวา (นิยมค้า)  เล่าเรื่องราวของตนว่า มีชื่อเล่น ตู๋ตี๋  แต่เพื่อน ๆ เรียกว่า "กะหร่อง" เพราะว่าผอมเสียจนเป็นเส้นตรง พี่กะหร่องมีพี่น้องร่วมมารดาอีก 4 คน และต่างมารดาอีก 2 คน รวมเป็น 7 คน   อาศัยอยู่กับป้ารวมในช่วงหนึ่ง พร้อมกับน้อง ๆ คือ ตั้นและต่าง  พี่กะหร่องมีเส้นทางชีวิตที่ฟ้าลิขิตมาก หลังจากที่เรียบจบจากอรุณประดิษฐ์ ก็เข้าเรียนที่เตรียมอุดมศึกษา  เอนทรานส์ติดคณะรัฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น(มอมบุโช)  ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโทโฮขุ เมืองเซนได และฮิโตษุบาชิ  เมืองโตเกียว     พบรักกับคนญี่ปุ่นด้วยกัน  ปัจจุบันจึงใช้นามสกุล โฮริคาวา มีบุตร 2 คนอายุ 33 และ 31 ปี ตามลำดับ  ลูกสาวคนโตเรียนอยู่ที่  Duke University, North Carolina อเมริกา ส่วนคนเล็กแต่งงานแล้วกับคนญี่ปุ่น อยู่ที่คาวาซากิ จากความรู้ทางภาษาญี่ปุ่นที่มีทำให้มีโอกาสสร้างผลงานชิ้นโบว์แดง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของคนไทย นั่นคืองานแปลเรื่อง "อิกคิวซัง" การ์ตูนเด็กฉลาดเฉลียวของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ และทั่วทุกวัย  และอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันคือเรื่อง "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"  ซึ่งเป็นผลงานที่ให้แนวคิดแก่คุณแม่มือใหม่  โด่งดังไม่แพ้ "อิกคิวซัง"  นอกจากนี้ยังมีผลงานแปล  ลงในคอลัมน์ "อย่ารอจนสาย" นิตยสารหมอชาวบ้าน วางตลาดรายเดือน   ปัจจุบันแม้จะอายุ 62 ปีแล้ว แต่ก็ยังทำงานหนักในตำแหน่งรองอธิการ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น  ซึ่งลงนามก่อตั้งโดย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา และได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท. และได้รับทุนการศึกษาจากหอการค้าญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย สถาบันนี้สอนด้านการบริหาร , วิศวกรรม ,  สารสนเทศ ระดับปริญญาตรีและโท    เรื่องราวชีวิตของพี่กะหร่องล้วนมีคุณค่าต่อการจดจำในทุกย่างก้าวทีเดียว  ในวันที่พบกัน  พี่กะหร่องได้นำผลงานชิ้นล่าสุด มาแจกให้ทุกคนอย่างทั่วถึง  คือหนังสือเด็กเรื่อง "แป้งร่ำทำนาเกลือ"

ตั้น , นภดล นิยมค้า  ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตนให้ฟังว่า อยู่บ้านป้ารวมช่วงหนึ่งพร้อม ๆ กับพี่น้อง ในช่วงที่เรียนอยู่อรุณประดิษฐ์  หลังจากนั้นไปเรียนต่อที่เทคนิคราชบุรีจนจบ  กลับมาอยู่บางตะบูน บ้านแหลม ใช้ความรู้ที่เรียนมา สร้างกิจการอู่ต่อเรือ และริเริ่มสร้างใบพัดเรือ  เพื่อให้ชาวประมงได้นำไปใช้ประโยชน์  ปัจจุบันมีกิจการค้าเกลือในนาม safepack อีกด้านหนึ่ง และด้วยความที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่  จึงได้รับเลือกจากชาวบางตะบูน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน  ณ.วันนี้ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักผู้ใหญ่ตั้น แห่งลุ่มแม่น้ำบางตะบูนคนนี้  และยังเป็นเจ้าของครัวทับทิมทอง ที่พวกเราใช้เป็นที่พบปะกันในครั้งนี้อีกด้วย  ตั้นมีครอบครัวที่น่ารัก และมีบุตรแล้ว 3 คน ทุกคนล้วนมีชีวิตที่ดี ทำให้วันนี้ของตั้น สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข

ต่าง , ธราดล  นิยมค้า  เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บ้านป้ารวมเมื่อยังเด็ก ต่างเล่าว่า เมื่อจบจากอรุณประดิษฐ์ ก็ไปเรียนต่อที่เทคนิคราชบุรี  จบมาก็ทำกิจการส่วนตัวทันที  เป็นเจ้าของคานเรือ ที่บางตะบูนนั่นเอง  ต่างเป็นคนหนุ่มที่แม้จะดูเหมือนเหนียมอาย  แต่ก็มีความเป็นตัวเองสูง จึงได้รับความเห็นชอบจากชาวบางตะบูนให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และเป็นสมาชิกสภาจังหวัดเพชรบุรี  อยู่ช่วงหนึ่ง  แต่ปัจจุบันอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบกับ ประนอม นิยมค้า ภรรยาคู่ใจ จึงลาออกจากงานการเมืองทั้งหมดแล้ว  ต่างมีบุตร 3 คน มีกิจการงานเป็นของตัวเองแล้วทั้งหมด
   
รัส , จำรัส  พึ่งแพง  เล่าเรื่องราวชีวิตว่าเรียบง่ายยิ่งกว่าใคร ๆ  จำรัส อาศัยอยู่บ้านป้ารวมเมื่อตอนเด็ก ๆ ในช่วงที่อยู่อรุณประดิษฐ์  กับเป๋ น้องชาย และพี่ลัดดา  พี่สาลี่   หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อที่อื่น  แต่ในที่สุดก็กลับมารับช่วงกิจการประมงที่บ้านต่อ  ปัจจุบันทำอาชีพประมงเต็มตัวกับประภาพงษ์ พึ่งแพง  ภรรยา  มีเรือประมงส่วนตัวชื่อเอกชัย มีบุตรแล้ว 2 คน คนเล็กเป็นหมออยู่ โรงพยาบาลกลาง

จ้อย , จ้อย  คุ้มศิริ ที่ใคร ๆ ก็เรียกว่าไอ้จ้อย  เล่าว่าอาศัยอยู่กับป้ารวม ช่วงที่เรียนอรุณประดิษฐ์ จนถึง ม.3 ก็ลาออกมาทำกิจการประมงซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว  ปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว กับ เสน่ห์ คุ้มศิริ  คนบ้านแหลมด้วยกัน มีบุตร 1 คน ทำงานแล้วที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นช่างไฟฟ้า  ชีวิตจ้อยสมบูรณ์แบบตามวิถีคนชนบท 

จะเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคน มีความหลากหลาย ตามหนทางที่แตกต่างกัน  แต่สิ่งที่ทุกคนได้รับการอบรมปลูกฝังจากป้ารวม คือความดีที่เป็นพื้นฐานของชีวิต  จึงทำให้ทุกคนล้วนประสพความสำเร็จกันทั้งสิ้น

ขอบคุณป้ารวม ที่ช่วยดูแลและอบรม สั่งสอนพวกเราทุกคน....................เราจะพบกันอีกครั้งในปี 2555



ณ.ครัวทับทิมทอง มีค.2555
11 มีค.2555  คือวันที่มาพบกันอีกครั้ง ตามการนัดหมาย  ที่ครัวทับทิมทอง ของผู้ใหญ่ตั้นเช่นเดิม แต่วันนี้เรามีสมาชิกบ้านป้ารวมเพิ่มมาอีก 2 คน คือ พี่เนี๊ยว ( ดร.จารีต องคสุวรรณ)  และ เล็ก (ตระการพรรณ ยี่สาร)  วันนั้น ฝนตกอย่างหนัก  แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด  พวกเราทุกคนมาพบกันตามการนัดหมาย  ความยินดีจากการพบกัน จึงเป็นที่ปรากฏแก่ทุกคน  โดยเฉพาะในการพบกันปีนี้  มีสิ่งที่จะต้องจดจำเพิ่มเติมอีกหลายประการ นั่นคือ
  

เล็ก (ตระการพรรณ ยี่สาร)  ที่เคยอยู่ด้วยกันที่บ้านป้ารวมเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา  ได้นำผลงานของตนเอง ซึ่งเป็นหนังสือ "ตระกูลยี่สาร" รวบรวมประวัติ ความเป็นมาของครอบครัวยี่สารไว้  มาแจกพวกเราทุกคน  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีคุณค่า ที่น่าภาคภูมิใจ และควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพวกเราด้วย ทุกคนที่ได้รับต่างก็ปลื้มปิติ และชื่นชมในความสามารถของเล็ก  สมาชิกคนหนึ่งของบ้านป้ารวม  ซึ่งในครั้งนั้นมาอยู่กับป้ารวมทั้ง 3 คนพี่น้อง คือ เพิ่มพล - สุมนมาลย์- ตระการพรรณ  ยี่สาร 





ในวันนั้น  พี่กะหร่อง  ได้นำเพื่อนมาด้วย 2 คน ๆ  หนึ่งคือ คุณเบญมาศ  คำบุญมี  ซึ่งเป็นเจ้าของรูปภาพ ในหนังสือเด็กเรื่อง "แป้งร่ำทำนาเกลือ" ที่พี่กะหร่องได้นำมาแจกให้พวกเราเมื่อปี 2554  ในปีนี้ได้นำตัวเป็น ๆ  มาให้เห็น จึงนับเป็นโชคดีของสมาชิกบ้านป้ารวมเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นคนที่มีความสามารถมือฉกรรจ์ในการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพวาดอย่างสมจริง  และอีกคนหนึ่งคือพี่ติ๊ก  เพื่อนร่วมรุ่น ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬา ฯ มาร่วมเป็นสักขีพยาน  ในภาระกิจเพิ่มเติมที่มีคุณค่ายิ่ง คือ





การมอบทุนการศึกษา  ให้แก่นักเรียน ที่ยากจน ประสพความเดือดร้อนทางการเงิน จำนวน 10,000.- บาท  ในนามของศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬา  ซึ่งนักเรียนดังกล่าว มาพร้อมมารดา  เพื่อรับทุนนี้ ด้วยความปลิ้มปิติยินดี..

นี่คือความภูมิใจของพวกเรา  ความภูมิใจของสมาชิกในบ้าน  ที่เจ้เค่ยบอกว่าได้แตกกิ่งก้านขยายสาขาออกไปนั้น บัดนี้ทุกกิ่งก้านมีความมั่นคง แข็งแรง  แผ่ร่มเงาไปทั่วทุกทิศได้  เพราะเรามีรากแก้วที่แข็งแรง จากการอบรมปลูกฝัง ของป้ารวม มาด้วยกันทั้งสิ้น

จึงต้องขอขอบคุณป้ารวมอีกครั้ง..ด้วยความจริงใจ..จาก สมาชิก บ้านป้ารวม










วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประทับใจกับ..สี่แผ่นดิน



ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่ได้ไปชมละครเพลงเรื่อง สี่แผ่นดิน ต้องมีความประทับใจกับละครเรื่องนี้เป็นอย่างมาก  ด้วยความสามารถที่สูงยิ่งของนักแสดงและนักดนตรี ทุกคนภายใต้การกำกับการแสดงของคุณบอยถกลเกียรติ  วีรวรรณ และทีมงาน สามารถทำให้ผู้ชมหลายคน และแม้แต่ข้าพเจ้าได้ทราบซึ้งจนน้ำตาไหลเกือบตลอด  กับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วง ๔  รัชกาล  ผ่านการเล่าเรื่องชีวิตของแม่พลอย



ชีวิตแม่พลอยเริ่มต้นที่การพลัดพรากจากบ้านไปอยู่ในวังหลวง   ตามที่มารดานำไปฝากไว้ตั้งแต่เด็ก  ดนตรีและเพลงประกอบที่ไพเราะ    ทำให้ผู้ชมอาลัยกับการพลัดพรากของแม่พลอยไปด้วยอย่างมาก   เมื่อแม่พลอยเข้าไปอยู่ในวัง ก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยอย่างดีเป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อมอย่างสาวชาววัง  จนเติบใหญ่ได้ออกเรือนมีครอบครัวไปกับคุณเปรม  มหาดเล็กในวังหลวงคนที่ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามด้วย สร้างครอบครัวจนมีบุตรด้วยกัน ๓ คน  แถมด้วยบุตรอีก ๑ คนที่เกิดจากคุณเปรมและบ่าวสาวด้วยความพลั้งเผลอ  แต่แม่พลอยก็รักและเลี้ยงดูเสมือนบุตรตน     ความดีของแม่พลอย จึงสร้างความประทับใจแก่คุณเปรมอย่างมาก  จนคุณเปรมให้สัญญาแก่แม่พลอยว่าจะรักแม่พลอยจนตายจากกัน
                    


จากการที่มีชีวิตอยู่ในวัง   แม่พลอยจึงได้รับรู้ถึงภาระกิจของพระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน   ทำให้แม่พลอยมีความรักและศรัทธาต่อพระเจ้าแผ่นดินอย่างมาก  ที่ทรงห่วงใยประชาชน   และได้อบรมบ่มเพาะลูกทั้ง ๔ คน ให้รักและเทิดทูนพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกับที่แม่พลอยรักและเทิดทูน  แต่กาลสมัยเปลี่ยนไป  ความคิดอ่านของคนในแผ่นดินตลอดจนลูกทั้ง ๔ ของแม่พลอยจึงมีความแตกต่างกัน   เปรียบเสมือนกับสายน้ำ ที่แตกแยกทิศทางกันอย่างไม่รู้ว่าจะไปบรรจบกันอย่างไร   แต่ละคนต่างมีความคิดและหนทางที่ต่างกัน

          แต่ละคนมีหนทาง...อันต่างกัน
          ต่างคิดและต่างฝัน...ไปตามแต่ใจ
          เปรียบดังเช่นสายธาร....จากลำน้ำสายใหญ่
          แยกทิศทางออกไป..ไม่กลับคืนมา

          แต่ละคนคือสายธาร...ที่ต่างกัน
          มีทั้งความดุดัน..ทั้งเร็วและช้า
          สุดแต่ทางที่ไป....ถูกคลื่นลมพัดพา
          ไม่รู้วันข้างหน้า...จะเกิดอะไร

          เมื่อกระแสธาร...ยังพัดพา
          ต่าง..มีโชคชะตา...ต้องไป


นับตั้งแต่สิ้นรัชกาลที่ ๕ และ ๖  จวบจนแผ่นดินรัชกาลที่  ๗  สังคมไทยเปลี่ยนแปลงมากมาย เมื่อความเจริญรุ่งเรืองก้าวเข้ามา  ความคิดความเห็นของคนแปรเปลี่ยนมาก  คนหนุ่มสาวในยุคนั้นเข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างสูง   จึงมีช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่า และ คนรุ่นใหม่  ทำให้ความโลภและอำนาจเงินเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง  ในที่สุดก็เกิดกลียุค และพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่  ๗  ต้องสละพระราชอำนาจ



ความเปลี่ยนแปลงแต่ละยุคสมัย  ทำให้ชีวิตของแม่พลอยต้องพบทั้งความสุขสมหวัง ความผิดหวัง และความพลัดพราก  หลากหลายเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตของแม่พลอยและลูกทั้ง ๔  จนรู้สึกอ้างว้าง  เมื่อแผ่นดินว่างเว้นกษัตริย์  จวบจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๘ เสด็จนิวัติกลับไทย  จึงสร้างความอบอุ่นและความหวังให้กับประชาชนอย่างมากอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่งสิ้นรัชกาลที่ ๘ และเริ่มรัชกาลที่ ๙



ละครเรื่องนี้ ท่าน มรว.คึกฤทธิ์  ปราโมทย์  เป็นผู้ประพันธ์ไว้  เสียดายที่ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว  หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาจจะต่อชีวิตของแม่พลอยจนถึง 5 แผ่นดิน จะได้เห็นความแตกต่างทางความคิดที่หลากหลายมากขึ้น ถึงขนาดแบ่งแยกเป็นสี  ความคิดที่ต่างกันสามารถทำให้คนที่เป็นเพื่อนกัน กลายเป็นศัตรูกันได้  ยอมเผาบ้านเผาเมือง เพื่อต้องการชัยชนะ 



สิ่งเดียวที่ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอย่างไม่เสื่อมคลาย นั่นคือพระเจ้าแผ่นดิน ที่ยังคงเหนื่อยยาก เพื่อความสุขของปวงชนชาวไทย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง.........



อยากให้คนทั้งแผ่นดิน เทิดทูนพระเจ้าแผ่นดินอย่างแม่พลอย  พวกเราคงได้อยู่กันอย่างสงบ.......

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

พักเขาใหญ่..แวะไร่สุวรรณ



          สัปดาห์นี้ครอบครัวเรา มีโปรแกรมพักผ่อนบนเขาใหญ่  เราเลือกพักที่มุติมายา pool villa  ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กำหนดไว้ตั้งแต่ ตค.๕๔  แต่บังเอิญช่วงนั้นเกิดมหันตภัยน้ำครั้งยิ่งใหญ่ เจ้าของที่พักใจดีเลื่อนให้เรามาพักในช่วง ๑๖ - ๑๗  มีค.๕๕  แทน  เพื่อให้เราได้มีโอกาสเข้าร่วมในมหกรรมมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีความกังวลใจกับสิ่งใด ๆ

          เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯแบบสบายๆ   หลังจากขึ้นเนิน ผ่านมวกเหล็กและกลางดง  ก็ได้แวะทานอาหารกลางวัน และแวะไร่สุวรรณ  ซึ่งอยู่ในเขต ต.กลางดง  อ.ปากช่อง  ใกล้กับฟาร์มโชคชัย  เพื่อซื้อเสบียงอาหารมากักตุนไว้ทานบนเขาใหญ่




          ไร่สุวรรณเป็นสถานีวิจัยข้าวโพดข้างฝ่าง  ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เมื่อหลายสิบปีก่อน  ใช้เป็นที่ฝึกงานของนิสิตคณะเกษตร   ปัจจุบันไม่ทราบว่ายังเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า  แต่สถานที่เปลี่ยนไปมาก  มีตลาดเล็ก ๆ อยู่หน้าฟาร์ม  ทำให้ไร่สุวรรณเป็นฟาร์มที่คึกคักสำหรับนักเดินทาง  เพราะนอกจากข้าวโพดจะหวานแบบไม่มีที่ไหนเปรียบแล้ว  ยังมีผลผลิตจากข้าวโพดอีกหลายอย่างมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นน้ำนมข้าวโพด  ลาบข้าวโพด  สลัดข้าวโพด  และผลผลิตอื่นๆ  เกษตรกรแถว ๆ นั้น ได้นำผลไม้มาจำหน่ายบ้าง   ต้นไม้ต่าง ๆ มาจำหน่ายบ้าง  จึงทำให้ไร่สุวรรณ  เปรียบเสมือนแหล่งท่องเที่ยวย่อม ๆ  ที่ถูกกำหนดไว้ในโปรแกรมเดินทาง   ฉันเองก็ซื้อมาหลายอย่าง จนกินทั้งคืนยังไม่หมด

ไร่สุวรรณ

ไร่สุวรรณ

          หลังจากตุนเสบียงอาหารเต็มที่  ก็ออกเดินทางต่อ มาถึงมุติมายา ก็ประมาณบ่ายแก่  ๆ   ที่พักที่นี่เป็นหลัง ๆ  กว้างขวาง  สอาด  และสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนจริง ๆ  พื้นที่ในบ้านแบ่งเป็น ๔ ส่วน  เป็น ห้องนอน  ห้องนั่งเล่น  ห้องอาหาร   ห้องอาบน้ำ   มีสวนเล็กๆ  และมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กกระทัดรัด ในแต่ละหลัง  พื้นที่ทุกส่วนใช้ประโยชน์เต็มที่ และเจ้าหน้าที่บริการดีมาก ๆ

ห้องนอน


ห้องนั่งเล่น

ห้องอาหาร
ล๊อบบี้ทานอาหารเช้า

ห้องอาบน้ำ

สระว่ายน้ำในบ้าน

น้ำในสระว่ายน้ำหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา  จึงทำให้สอาดมากและน่าเล่น   ลูก ๒ คนของฉันจึงไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ ฉันเองเพียงมีโอกาสได้สูดอากาศที่สดชื่น  หายใจลึก ๆ  เข้าไปเต็มปอด  ก็นับว่าคุ้มค่าเพียงพอแล้ว ทำให้มีพลังขึ้นมาอีกเยอะ  เราใช้เวลากับที่นี่เต็มที่  จนกระทั่งเที่ยงของวันรุ่งขึ้น  จึงได้เช็คเอ้าท์  โดยไม่ลืมที่จะแวะสถานที่สุดฮิตของหนุ่มสาว  นั่นคืออาคารที่เจตนาทำให้เหมือนเก่า  น่ากลัว  ดั่งปราสาทผีสิง  Smoke house  นั่นเอง









          ที่   Smoke house  ดูน่ากลัวเพียงภายนอก  แต่ภายในจัดเป็นร้านอาหารสบาย ๆ  สไตล์สเต็ก  และมีกาแฟ  เครื่องดื่มบริการ  น่าจะเป็นร้านยอดฮิตร้านหนึ่งสำหรับคนที่มาเที่ยวเขาใหญ่  เพราะมีลูกค้านั่งเกือบเต็มร้านทีเดียว  บริกรมีไม่เพียงพอที่จะให้บริการ  ฉันนั่งรออยู่นาน จนต้องตัดสินใจว่า เราจะทานแค่ขนมเค็ก และกาแฟเพียงเท่านั้น  ถ้าขืนรอทานอย่างอื่น  ต้องถึงเย็นแน่ ๆ








          ขอเป็นโอกาสหน้าแล้วกันจะกลับมาลิ้มรสอาหารอีกครั้งหนึ่ง  วันนี้ขอกลับกรุงเทพฯ บ้านเราก่อน หรือถ้าใครเคยลิ้มรสมาแล้ว ก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ...บ๊าย..บาย.

    

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนี้ที่ไม่ต้องชำระ





ในกระบวนการติดตามหนี้นั้น  เจ้าหนี้ทุกรายจะรู้ดีว่า หนี้รายไหนยังมีสิทธิ์ติดตามอยู่ และหนี้รายไหนขาดสิทธิ์ติดตามแล้วเพราะหนี้ทุกราย จะมีเรื่องอายุความกำกับอยู่  มีบ่อยครั้งที่เจ้าหนี้ต้องทำตาปริบ ๆ  เมื่อรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้แล้ว แต่ก็มีอีกไม่น้อยเหมือนกันที่ แม้หนี้จะขาดอายุความไปแล้ว แต่ลูกหนี้ก็ยังแสดงความจำนงค์ที่จะชำระ......

เพราะมันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ...
เพราะมันเป็นเรื่องของคุณธรรม.........
เมื่อรู้ว่าเป็นหนี้..ก็ต้องหาทางชำระ..แม้จะต้องใช้เวลายาวนาน.........

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับโต้ง ซึ่งมีหนี้ค้างชำระอยู่จำนวนหนึ่ง   แต่ธนาคารไม่ได้ติดต่อทวงถามเขาเลยเพราะรู้ว่าเสียสิทธิ์ไปแล้ว จากการที่ไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย  

มันเป็นเรื่องที่โต้ง  ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยในชีวิต   นับตั้งแต่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ก็ได้ทุ่มเททั้งชีวิตในการสร้างฐานะและอาชีพ   สืบทอดธุรกิจครอบครัวที่บิดาเริ่มต้นไว้   วิศวกรเช่นเขาแทบจะไม่เคยรู้เลยว่า บรรยากาศในผับ  เป็นอย่างไร  คาราโอเกะเป็นอย่างไร   ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  ทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง    เรื่องครอบครัวคงไม่ต้องพูดถึง   อ้อย..ภรรยาของเขา  รับหน้าที่ในการดูแลครอบครัวและลูกเองทั้งหมด  โชคดีของเขา ที่ภรรยาและลูกเข้าใจ  อ้อย และ หน่อย ลูกสาวคนเดียวของเขา  จึงเป็นกำลังใจที่สำคัญในชีวิตของเขา   แม้ยามที่เขาเหนื่อยล้า...ที่สุดในชีวิตขณะนี้

ปี 2539  เป็นปีที่ธุรกิจของเขารุ่งเรืองอย่างมาก   เขาสามารถเซ็นต์สัญญารับงานไว้หลายแห่ง หากประเมินอย่างหยาบ ๆ  ผลกำไรสุทธิที่บริษัทของเขาจะได้รับในปี  2540   ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ลบ. ทุกอย่างเดินหน้าอย่างดียิ่ง  บ้านจัดสรรที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด  แต่เรื่องคุณภาพไม่มีใครสู้เขาได้ เขามั่นใจในธุรกิจภายใต้การบริหารของตัวเขาเอง  จะไม่มีปัญหาแน่นอน  จนยอมนำที่ดินพร้อมบ้านที่อาศัยอยู่  ไปจำนองเป็นประกันเงินกู้จากธนาคาร ที่นำมาใช้ในการหมุนเวียนในธุรกิจ เขาใช้วงเงินโอดีจากธนาคาร 10 ลบ. ตั้งแต่ปี 2538 เพื่อขยายกิจการหลังจากสานต่อธุรกิจเล็ก ๆ จากบิดา การหมุนเวียนบัญชีของเขาไม่เคยเป็นปัญหา  แม้เขาจะไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่  แต่เขาก็เป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคาร จนกระทั่งถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งฝันร้ายในชีวิตเขา

ต้นเดือน กค.2540  รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท  แม้ในเบื้องต้นเขาจะมิได้รับผลกระทบในทันทีจากมาตรการดังกล่าว  แต่ไม่นานนักผลกระทบก็เริ่มขึ้น  ในช่วงนั้นมีการเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างกว้างขวาง มีการกู้เงินจากต่างประเทศกันมาก  เมื่อเงินบาทลอยตัว  เจ้าของกิจการต่างๆ จึงมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น   กิจการรับหมาก่อสร้างของเขา แม้จะมีการเซ็นต์สัญญาแล้ว ก็ไม่อาจเดินหน้าต่อได้  เพราะผู้ว่าจ้างไม่สามารถจ่ายเงินได้ตามงวดงาน  กิจการของเขาจึงซวนเซไปตามลูกโซ่แห่งผลกระทบ  ทุกธุรกิจล้วนระเนระนาดถลำลึกไปเหมือนต้มยำกุ้งหม้อใหญ่


เขาพยายามประคองกิจการมาได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในที่สุดก็หมดปัญญาที่จะประคองกิจการได้ต่อไป  เขากลายเป็นผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้  และตัดสินใจที่จะยอมโอนทรัพย์จำนองซึ่งเป็นบ้านอาศัยให้ธนาคารเพื่อเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งเป็นเงิน 8.0 ลบ.  แต่ยังมีหนี้เหลืออีก 2.0 ลบ. ที่ธนาคารอนุเคราะห์ให้ผ่อนชำระต่อไป  โดยระหว่างการผ่อนชำระได้ให้สิทธิ์เขาได้พักอาศัยในบ้านหลังเดิมต่อไป 5 ปี   เขาคิดว่าการเลือกแนวทางแก้ไขแบบนี้ เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา และอยู่ในวิสัยที่จะผ่อนชำระต่อได้


เขาตัดสินใจทั้งหมดไปเพียงลำพังโดยที่ครอบครัวมิได้รับรู้  เขาปิดบังความล้มเหลวและสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่เขาเพียงลำพังที่จะต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงให้ได้ แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม

แต่แล้วในที่สุดก็ไร้ผล  เมื่อเขาไม่สามารถชำระหนี้ได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของเงื่อนไข และขณะนี้เขาถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  เขาจำใจต้องบอกให้ครอบครัวรับรู้ด้วยความยากลำบากยิ่ง  แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว  ในเมื่อเขา...ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว กำลังจะเป็นบุคคลล้มละลาย 


สิ่งที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาคาดว่าจะพบกับความโศกเศร้าเสียใจของลูกเมียเมื่อรับรู้เรื่องจริงทั้งหมด  แต่เปล่าเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามและเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สำหรับเขา  ภรรยาและลูกกลับให้คำปลอบใจและให้กำลังใจเขาเป็นอย่างมาก   มันจึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาที่จะต่อสู้กับอุปสรรคในครั้งนี้

เขาเฝ้ารอวันที่ศาลนัด เพื่อหวังจะขอประนอมหนี้อีกครั้งหนึ่ง  แต่ปรากฏว่า ในคดีล้มละลายนั้น มีเพียงเจ้าหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง ที่ยื่นขอรับชำระหนี้เข้ามาในมูลหนี้เพียงไม่กี่หมื่นบาท  เขาสามารถประนอมหนี้ได้สำเร็จ   แต่เจ้าหนี้รายที่ยื่นฟ้อง กลับไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้เข้ามา  อันเป็นผลให้เจ้าหนี้หมดสิทธิ์ได้รับชำระหนี้ตามที่ยื่นฟ้องไว้และเขาพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย

เขาเชื่อว่า คงเกิดจากการหลงลืมของเจ้าหนี้  ที่ทำให้มิได้ยื่นขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาของกฏหมาย  แม้หนี้ดังกล่าว จะเป็นหนี้ที่ไม่ต้องชำระแล้วก็ตาม  แต่เขาก็ไม่อาจฉกฉวยเอาความพลาดพลั้งของเจ้าหนี้มาเป็นโอกาสของตนได้  เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว  เขายังมีหนี้ค้างอยู่........

เขากลับมาพบธนาคารอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่กิจการเขาเริ่มฟื้นตัวได้  และแจ้งความจำนงที่จะขอชำระหนี้จำนวนนั้น เขาได้รับการผ่อนผันให้ยุติหนี้ด้วยเงื่อนไขที่น่าพอใจยิ่ง......และได้รับโอกาสให้มาใช้สินเชื่อใหม่อีกครั้ง

เขาเชื่อแล้วว่า .......ผู้สุจริต........  มักจะพบหนทางสว่างอยู่เสมอ.....
คนสุจริต.....  ไม่มีวันตาย....  ในวงการธุรกิจ

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขวัญเรือน...คือใคร ?





เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวคราวเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นเรื่องที่กรมการปกครองยื่นฟ้องประชาชนคนหนึ่งในข้อหานำเอกสารปลอมมาทำบัตรประชาชน  เธอคนนั้นคือ " นางสาวขวัญเรือน รำพึง"  ผู้เป็นจำเลยของแผ่นดิน ได้รับความทุกข์ระทมอย่างหนักในช่วงระหว่างรอศาลพิจารณาคดี

แม้วันนี้ศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้อง  อันทำให้เธอพ้นมลทิน  จากความผิดที่กรมการปกครองเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเธอเป็นจำเลยในข้อหาใช้เอกสารเท็จในการทำบัตรประชาชนดังกล่าว

แม้เธอจะดีใจที่พ้นความผิด  แต่ความเสียใจมีอยู่อย่างท่วมท้นหัวใจจนเกินบรรยาย  ความผิดหวัง ความเสียใจที่เกิดจากโชคชะตาที่กระหน่ำเธอจนชีวิตเหลือแต่ความว่างเปล่า  เธอไม่รู้เลยว่า ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต ที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดทำสิ่งที่ชั่วร้าย   แต่ทำไมโชคชะตาถึงกลับโหดร้ายกับเธอยิ่งนัก    เรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตถึงได้เกิดขึ้นกับเธอเช่นนี้ 

เธอคือขวัญเรือน ที่ยายของเธอเป็นผู้เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่   จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 15 ปี ยายพาเธอไปหาแม่  แม่ซึ่งแม้จะไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก เพราะเธออาจจะถูกลักพาหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้  ทำให้เธอหายตัวไป  แต่แม่จำปานที่ท้องและหลังของเธอได้   จึงยอมรับเธอเป็นลูก  เธอดีใจอย่างเหลือล้นที่ได้พบแม่  มันทำให้เธอมีชีวิตที่อบอุ่นมากขึ้นที่มีทั้งพ่อแม่และยาย..........แต่มาในวันนี้     แม่ที่เธอรักปานดวงใจ กลับบอกว่า  ...

........เธอไม่ใช่ลูกอีกต่อไป.........
........แม่ไม่ใช่แม่อีกต่อไป........
........เธอไม่ใช่ลูก........เธอไม่ใช่ขวัญเรือน...........
........แม่ไม่ใช่แม่...ของเธออีกต่อไปแล้ว............

สับสน   เคว้งคว้าง   มืดมน   ไม่มีเรี่ยวแรง   แม้แต่จะก้าวเดิน ..............
ในเมื่อเธอไม่ใช่ขวัญเรือน   ....แล้วเธอเป็นใคร.....ใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอ  ไม่มีใครให้คำตอบกับเธอได้  ...แม้แต่ตัวเธอเอง..................


เหตุการณ์เลวร้ายที่สุด  เกิดขึ้นเมื่อวันที่เธอไปติดต่อสำนักงานเขตเพื่อต่ออายุบัตรประชาชน  เธอถูกเจ้าหน้าจับกุมว่านำเอกสารเท็จมาทำบัตรประชาชน  หลักฐานทางทะเบียนราษฎร ปรากฏว่ามีนางสาวขวัญเรือนตัวจริงได้มาแสดงตัว  ทำให้เกิดฐานข้อมูลที่ซ้ำกัน ทั้งชื่อ นามสกุล และเลขที่บัตรประชาชน

เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวปลอม  และถูกขอพิสูจน์ดีเอ็นเอ  เพื่อหาความจริง   เธอไม่ยี่หระต่อขบวนการค้นหาความจริง  เพราะเธอไม่มีสิ่งใดที่ปิดบัง  แต่แล้วเมื่อผลพิสูจน์ออกมา  มันถึงกับทำให้เธอช๊อค  !

เธอคือขวัญเรือน  ที่ไม่ใช่ลูกจริง ๆ  ของแม่   ! ! 

ลูกของแม่กลับเป็นขวัญเรือนที่มาแสดงตัวภายหลังเธอ  ผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอพบว่า เธอไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใด ๆ ทั้งสิ้นกับ ทุก ๆ คนในครอบครัว.............ไม่มีเลยสักคนเดียว.

เธอต้องเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลใหม่    นำตัวเองออกมาให้พ้นจากครอบครัวของเธอ  และความเป็นนางสาวขวัญเรือนลูกของแม่  เธอยินดีที่จะทำเช่นนั้น  เมื่อทุกคนไม่เหลือสิ่งใดให้กับเธอเลย............แม้แต่เยื่อใย

นับแต่นี้ไป..เธอต้องก้าวเดินเพียงรำพัง  บนเส้นทางชีวิตที่มืดมิด  และยาวไกล...อย่างคนสิ้นหวัง  ไร้อนาคต.....

ไม่รู้..แม้ว่า..เธอมีสิทธิ์เหยียบย่ำบนผืนแผ่นดินนี้..ในฐานะอะไร

ช่วยบอกด้วยว่า..เธอควรจะก้าวไป..ทางไหนดี..

ช่วยบอกด้วย............

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

เธอคือ.....ปอแก้ว




 

ศาลาทรงไทยหลังนั้น  ดูสวยและร่มรื่น  แม้ผู้คนจะไม่มากนัก แต่ทุกคนมีสีหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขและอบอุ่น  วันนั้นเป็นวันทำการมงคลของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ผูกสมัครรักใคร่และตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน มาทำพิธีแต่งงานกันที่...เรือนเจ้าสาว.....บ้านทรงไทยหลังนี้

นอกเหนือจากพ่อแม่  พี่น้อง  ปู่ย่า ตายาย ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานและให้ศีลให้พรแล้ว   มีเด็กสาวอีกหลายคนที่มาร่วมงานในฐานะเพื่อนบ้าง ญาติบ้าง ทำให้งานดูครึกครื้นและมีสีสันต์อย่างมาก

หนึ่งในนั้นคือเธอ ซึ่งดูคล่องแคล่วว่องไว  ปราดเปรียว..โดดเด่น  จนข้าพเจ้าอดที่จะมองตามเสียมิได้ และเมื่อได้พูดคุยกัน ยิ่งทำให้ทึ่งในตัวเธอเป็นอย่างมาก

เธอเป็นเด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง   และเป็นเด็กที่เก่งมากคนหนึ่งทีเดียว  เธอผ่านงานมาหลายแห่ง ด้วยความสามารถในด้านภาษา และมีบุคคลิกดี  ทำให้ทุกแห่งอ้าแขนต้อนรับเธอไม่ว่าจะเป็นบริษัทต่างประเทศ หรือธนาคารต่างชาติ ซึ่งเธอก็ได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งทำงานหาประสพการณ์ในสถานที่เหล่านั้น  แต่ในที่สุดวันนี้  เธอตัดสินใจสลัดตัวจากการเป็นลูกจ้าง  ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว  แม้จะเป็นธุรกิจเล็กๆ  แต่ยิ่งใหญ่ในความเป็นเจ้าของ ที่จะดลบันดาลสิ่งใด ๆ ตามที่ใจปรารถนา

น้อยคนนักที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น  คนที่มีความกล้าหาญต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างเด็ดเดี่ยวเช่นเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะภาคภูมิใจในตัวเธอ  และแอบส่งกำลังใจให้เธออย่างเต็มหัวใจ

คนที่เชื่อมั่นในตัวเอง  มักจะประสพความสำเร็จในชีวิตเสมอ  เพราะคนเช่นนี้จะไม่ยอมย่อท้อต่ออุปสรรค  ไม่นำอุปสรรคมาเป็นปัญหา  คนเช่นนี้ พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่  ก้าวใหม่ และ ก้าวใหม่  อย่างมั่นคง  อุปสรรคมีไว้แก้ไข

เปรียบเสมือนต้นปอ ซึ่งมีลำต้นที่สูงเรียว ตั้งตรง โดดเด่น  ท้าแรงลม  ไม่ว่าจะโดนพายุลมแรงเพียงใด  ในที่สุดต้นปอก็จะกลับมาตั้งตรง  สูงเรียว  โดดเด่น  เช่นเดิมได้  เพราะความเข้มแข็งในตัวเอง...

          เธอจึงเป็น...... ปอแก้ว ........ที่เข้มแข็งและมีคุณค่า ..............
          ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้เธอ   ในทุกย่างก้าวของชีวิต.................

Silent Killer










          "อายุมากแล้ว อย่าได้ประมาท  โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ  ถ้าแสดงอาการเมื่อใด  แปลว่าหนักหนาสาหัสแล้ว เส้นเลือดแตกแล้ว  และหากปล่อยจนถึงอย่างนั้น ก็จะเป็นอันตรายมาก"

          นี่คือสิ่งที่คุณหมอท่านหนึ่ง ได้เตือนข้าพเจ้าในวันที่ไปตรวจสุขภาพ  แล้ววัดความดันได้  149/100  ในขณะที่ข้าพเจ้าแจ้งสภาพร่างกายของตนเองให้หมอทราบว่า  แข็งแรงมากมาก  ไม่มีอาการอะไรเลย  สบาย สบาย

          หมอบอกว่าเจ้าโรคความดันโลหิตสูงนี่เขาเรียกกันว่าเป็น  Silent  Killer  มันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ปรากฏให้เห็นเลย จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าแข็งแรง ไม่มีอะไร  ชิว ชิว  แต่วันดี คืนดี มันก็น๊อคเรา   พอออกอาการปั๊บ  ก็ไป(ตาย) ทันที  หมอแนะนำว่าควรจะมีเครื่องวัดความดันไว้ประจำบ้าน  และควรวัดอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็วันเว้นวัน และค่ามาตรฐาน ควรไม่เกิน 140/90  ถ้าสูงกว่านี้  ต้องรีบไปพบแพทย์

          โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ  โรคไต  โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  ซึ่งมีอัตราการตายสูง มาก  ถ้าไม่ตาย ก็อาจเป็นอัมพาต  แต่เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้  หากรู้จักดูแลตัวเองและระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน

          ฉะนั้น จึงขอเตือนเราท่านทั้งหลาย อย่าได้ประมาทกับชีวิต   อย่าได้ไว้ใจฆาตกรเงียบตัวนี้เป็นอันขาด.....ดูแลตัวเองสักนิด  ชีวิตก็จะได้อยู่ดูโลกกันไปนาน ๆ  และอยู่กันได้จนแก่จนเฒ่า....

          ดูแลตัวเองนะคะ..