บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

ความทรงจำใน...ประนอมหนี้







ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้ามาทำงานประนอมหนี้เมื่อปี  ๒๕๒๐  ซึ่งขณะนั้นยังเป็นองค์กรเล็ก ๆ และใช้ชื่อว่า "สำนักประนอมหนี้"  ด้วยการชักชวนของพี่จงกลณี วงศ์ขจร พี่ที่สาขาราชวงศ์ที่ข้าพเจ้านับถือมากคนหนึ่ง ซึ่งเฝ้ามองดูพฤติกรรมการทำงานของข้าพเจ้าและเห็นว่ามีศักยภาพมากกว่าที่จะทำงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตามที่ทำอยู่ จึงช่วยวิ่งเต้นโยกย้ายให้มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ  พี่ขจร วงศ์ขจร  ผู้เป็นสามีซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าส่วนในสำนักประนอมหนี้  พี่ขจร วงศ์ขจร จึงเป็นครูคนแรกที่สอนงานประนอมหนี้ให้ข้าพเจ้า 
 
 

การได้ย้ายมาอยู่ที่สำนักประนอมหนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากมาย เมื่อเทียบกับอยู่ที่สาขาราชวงศ์ ซึ่งเป็นเสมือนน้องเล็กของพี่ ๆ  เหตุที่รู้สึกเช่นนั้นเพราะสภาพของงานซึ่งเราจำเป็นต้องอ่านเรื่องราวของลูกหนี้ ทำให้เห็นถึงความหลากหลายของชีวิต ต่างรูปแบบ  ต่างหนทาง ต่างฐานะ แต่เมื่อผิดพลาดล้มเหลวก็มีสภาพเช่นเดียวกัน และมาอยู่ในมือของเรา งานประนอมหนี้ มิใช่งานยาก หลักสำคัญคือต้องรู้พื้นฐานของหนี้ รู้สาเหตุที่หนี้มีปัญหา และหาทางแก้ไข ซึ่งขณะนั้นให้ยึดเรื่องการเจรจาประนีประนอมเป็นเบื้องต้น เมื่อไม่ได้ผลจึงค่อยใช้กฏหมายเข้าบังคับ สำนักประนอมหนี้ซึ่งถือกำเนิดโดยท่านบุญชู  โรจนเสถียร กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ในขณะนั้น ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นให้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลหนี้เป็นการเฉพาะเพื่อแยกความรับผิดชอบออกมาจากผู้ปล่อยสินเชื่อ สำนักประนอมหนี้จึงเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องหนี้อย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมาจนปัจจุบัน



การเข้ามาทำงานที่สำนักประนอมหนี้ ทำให้เริ่มเรียนรู้คนอย่างจริงจัง เริ่มสัมผัสถึงปัญหาขององค์กร  ปัญหาเรื่องงาน   ปัญหาเรื่องคน ซึงดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างปัญหาจุกจิกทั้งหลายทั้งปวง เริ่มมองเห็นคนสุจริต คนทุจริต คนหน้าไหว้หลังหลอก คนดีแต่พูด และคนพูดไร้สาระ คนชอบสร้างปัญหา  มีให้เห็นทั้งหมดในสำนักประนอมหนี้ข้าพเจ้าได้ยินคนเก่าแก่บางคนพูดว่า "ที่นั่นเสือสิงห์กระทิงแรด"



แต่ก็เป็นการดีที่มีโอกาสเข้ามาอยู่ในชุมชนนี้ เพราะสามารถฝึกชีวิตให้แข็งแกร่งได้มากทีเดียว ฝึกให้อดทน และที่สำคัญที่สุดคือฝึกให้เป็นคนนิ่งรับฟังปัญหา  การนิ่งทำให้มีโอกาสคิดก่อนพูด ดีกว่าการพูดเจื้อยแจ้วด้วยอารมณ์ความรู้สึกทันทีเป็นไหนๆ  พฤติกรรมเช่นนี้ติดตัวข้าพเจ้ามาจนเกษียณจากงานธนาคาร



ที่สำนักประนอมหนี้ขณะนั้น  ข้าพเจ้าถูกฝึกให้เรียนรู้งานด้วยการอ่านและบันทึก ข้าพเจ้าต้องอ่านแฟ้มลูกหนี้ทุกรายในสายงานที่ได้รับผิดชอบซึ่งขณะนั้นจะเป็นหนี้มีปัญหาในโซนรอบ ๆ กทม. เช่นนครปฐม กำแพงแสน ฯลฯ ลูกหนี้โซนนี้ส่วนใหญ่ทำไร่อ้อย และทำการเกษตรอื่นๆ เช่นฟาร์มเป็ด ไก่ สุกร ลูกหนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนพื้นบ้านที่น่าเห็นใจ และสาเหตุหนี้เสียส่วนใหญ่มักจะเกิดจากโรคระบาดบ้าง ความแห้งแล้งตามฤดูกาลซึ่งส่งผลกระทบถึงการดำเนินชีวิตของสัตว์บ้าง  มีจำนวนน้อยมากที่เกิดจากการจงใจทุจริตของลูกหนี้  สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงสังคมไทยในอดีตได้อย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่ตั้งใจทำมาหากินอย่างสุจริต  ไม่มีการวางแผนใดซับซ้อน  ไม่เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น  นั่นก็คือไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงไว้ล่วงหน้านั่นเอง



ลูกหนี้ขณะนั้นกลัวการถูกดำเนินคดี พอออกหนังสือเชิญพบก็มักจะมาตามนัดทุกครั้งไป เราก็จะเจรจาและให้ทำข้อตกลงไว้ทุกครั้งเช่นกัน บางครั้งก็เป็นผลคือลูกหนี้ผ่อนชำระได้ บางครั้งก็ไม่เป็นผล คือผ่อนชำระไม่ได้ ลูกหนี้บางคนตั้งใจชำระแต่เงินทองก็ไม่อำนวย  ข้าพเจ้าเคยเจรจากับลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการแต่ทำไร่อ้อยด้วยเพราะเป็นอาชีพดั้งเดิม เงินเดือนทั้งเดือนเหลือผ่อนชำระได้เพียง ๕๐๐.- บาท ยังไม่พอชำระดอกเบี้ยรายเดือนเลย แต่นโยบายขณะนั้นก็รับไว้เพราะถือว่าลูกหนี้มีความตั้งใจจริง  ไม่เหมือนปัจจุบันที่จะให้ปฏิเสธลูกหนี้ไปเลยเพราะถือว่าแก้ปัญหาไม่จบ มุมมองในนโยบายของเดิมกับปััจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในอดีตนั้นค่อนข้างจะยึดเรื่องคุณธรรมอยู่มาก



หน้าที่ของสำนักประนอมหนี้ขณะนั้น คือมุ่งเจรจาแก้ไขปัญหาให้ยุติ หากไม่ได้ผลก็ค่อยดำเนินคดี บังคับคดีเอาทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด  แนวการบริหารงานของสำนักประนอมหนี้ขณะนั้นก็คือทุกแนวทางยุติหนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการซึ่งขณะนั้นมี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นประธานกรรมการ ทุกเรื่องทุกราย เจ้าหน้าที่ประนอมหนี้จะต้องเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาและมีคำสั่ง ฉะนั้นแต่ละเรื่องราวจะมีการให้ความเห็นประกอบการวินิจฉัยกันอย่างกว้างขวาง ผิดกับปัจจุบันซึ่งใช้อำนาจเฉพาะตัว ตัดสินใจด้วยเหตุผลเฉพาะตัว ย่อมไม่ครอบคลุมเท่ากับหลายๆ ความเห็น  แต่อย่างไรก็ตาม วันเวลาเปลี่ยนไป  ปริมาณหนี้เปลี่ยนไป  ก็ย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา



เจ้าหน้าที่ประนอมหนี้ในขณะนั้น รับผิดชอบหนี้ไม่เกิน ๕๐ ราย/คน  จึงสามารถจำข้อมูลลูกหนี้ได้ครบถ้วนทุกราย แม้จะไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยก็ไม่มีปัญหาใด  ปัจจุบันรับพอร์ทคนละ ๓๐๐-๕๐๐ ราย มีคอมพิวเตอร์ช่วย มีระบบช่วยแต่ก็ยังไม่วายตกหล่นอยู่หลายเรื่อง  เรื่องนี้หากมองให้ลึกอาจจะมิได้อยู่ที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ประนอมหนี้เพียงอย่างเดียว เพราะเนื้อหาของหนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น จะต้องใช้เวลาในการอ่านมากขึ้น การเก็บข้อมูลนานขึ้น เวลาจึงไม่เพียงพอ การแก้ปัญหาโดยให้เจ้าหน้าอาวุโสรับผิดชอบมากขึ้น บางครั้งก็อาจจะไม่ถูกทางนัก เพราะบางเรื่องมันขึ้นอยู่กับประสพการณ์และไหวพริบ และไหวพริบไม่เกี่ยวกับอาวุโส

 
 
สำนักประนอมหนี้ในอดีต แม้จะมีเจ้าหน้าที่น้อยคน แต่ลักษณะงานจะครอบคลุมทุกด้าน  นับตั้งแต่เมื่อหนี้เริ่มโอนเข้ามาอยู่ใน port  ก็ต้องศึกษาประวัติและสรุปข้อมูลพื้นฐานไว้  แล้วก็ออกติดตามทุกราย หาทางเจรจาประนอมหนี้กัน  หากไม่เป็นผลก็ส่งเรื่องให้ทนายความดำเนินคดี  แล้วคอยติดตามผลการดำเนินคดีของทนายความ  เรื่องการติดตามคดีจากทนายความก็น่าจดจำ  สมัยนั้นปริมาณหนี้มีน้อยราย  การดำเนินคดีกับหนี้ทุกรายจะต้องส่งให้ฝ่ายกฏหมายของธนาคารเท่านั้น และฝ่ายกฏหมายนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาของความล่าช้า ฝ่ายกฏหมายขณะนั้นเป็นดินแดนลับแลที่ไม่มีใครเข้าถึง ฉะนั้นเรื่องจะกำกับ ให้มีความคืบหน้าลืมไปเสียเถิด แค่ติดตามก็ยังแสนยากยิ่งกว่าตามหนี้เสียอีก  พฤติกรรมของฝ่ายกฏหมายปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างหน้ามีอเป็นหลังมือ  กลายเป็นฝ่ายกฏหมายที่ทุกคนเข้าถึงอย่างง่ายดาย อำนวยความสดวกให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกคน ทุกหน่วยงานที่ต้องการปรึกษาข้อกฏหมายอย่างแท้จริง  เรื่องนี้ต้องขอชื่นชมคุณศรศักดิ์ สีมานนทปริญญาและคุณสงคราม สกุลพราหมณ์ เป็นอย่างมาก



เรื่องการออกติดตามหนี้ที่สาขาต่างจังหวัดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จดจำได้ไม่เคยลืม ข้าพเจ้าเคยออกติดตามหนี้ในไร่อ้อยที่สูงมิดหัวที่อำเภอกำแพงแสน  เรียกว่าเข้าไปแล้วไม่คุ้นทางก็หลงแน่นอน  น่ากลัวมากเพราะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นอ้อย  เข้าไปอยู่ในดงอ้อย ต้องกัดฟันทำใจให้กล้าไว้  แต่เมื่อไปพบลูกหนี้เข้า ก็เกิดความเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง  คนที่เป็นเกษตรกรนี่เป็นพวกหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอย่างแท้จริง  แต่ก็เป็นอาชีพดั้งเดิมของเขาที่ทำกันมาช้านานตั้งแต่บรรพบุรุษ ลูกหนี้ประเภทนี้ไม่เคยร่ำรวย ความร่ำรวยจะไปอยู่ที่หัวหน้าโควต้าเสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ลูกหนี้เกษตรกรค่อนข้างจะได้รับการผ่อนปรนจากธนาคารมากอยู่ไม่น้อย  และมีจำนวนไม่น้อยที่ธนาคารต้องจำหน่ายเป็นหนี้สูญและระงับการติดตาม เพราะสภาพของลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้คืนธนาคารได้โดยสิ้นเชิง ธนาคารได้รับความเสียหายจากหนี้กลุ่มนี้ไม่น้อยทีเดียวในแต่ละปี   การออกติดตามหนี้แต่ละครั้งก็ใช่ว่าจะเจอแต่ลูกหนี้ที่น่าเห็นใจเสียทุกครั้งไป บางครั้งไปพบลูกหนี้ที่เป็นนักเลงอันธพาลก็มี  นอกจากพรุสวาสไม่ยอมชำระหนี้แล้วยังข่มขู่เจ้าหน้าที่ธนาคารอีกด้วย   การพบปะลูกหนี้เช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเห็นความสำคัญของการประกันชีวิต  และเริ่มทำประกันชีวิตนับแต่นั้นเป็นต้นมา



เมื่อปริมาณหนี้เพิ่มมากขึ้น สำนักประนอมหนี้ก็เริ่มมีปัญหาดินพอกหางหมู ทำงานเท่าไรก็ไม่ทัน  หนี้เพิ่มขึ้นเกินพิกัดที่จะรับไหว   ธนาคารจึงปรับเปลี่ยนองค์กรแยกความรับผิดชอบระหว่างลูกหนี้ของสาขานครหลวง กับ สาขาต่างจังหวัดออกจากกัน แบ่งความรับผิดชอบการดูแลกันตามภูมิภาค ชื่อองค์กรจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายประนอมหนี้นครหลวง และ ฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัด นับแต่นั้นมาจนปัจจุบันโดยข้าพเจ้าเองดูแลงานด้านต่างจังหวัด และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าบริหารของฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัด



การทำงานในสายงานต่างจังหวัด จะมีปัญหาน้อยกว่าสายงานนครหลวง ความซับซ้อนของหนี้ก็มีน้อยกว่ากันเป็นอันมาก  แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติสงครามอีรัค หรือวิกฤตค่าเงินบาท หนี้ก็จะหลั่งไหลเข้ามาเป็นสายฝน แม้ก่อนการโอนหนี้ให้ฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัดจะกำหนดให้ภาคต้นสังกัดติดตามแก้ไขก่อนทุกราย และควบคุมด้วยการวัดผลงานการแก้ไข  ก็มีเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวว่าด้วยสงครามแย่งชิงผลงานกันระหว่างภาคต้นสังกัดกับฝ่ายประนอมหนี้อยู่เนืองๆ   และฝ่ายประนอมหนี้มักจะเป็นจำเลยลับหลังอยู่เสมอๆ ผู้จัดการภาคต่างจังหวัดทุกคน แทบจะไม่ต่างกัน มุ่งเอาผลงานมากกว่าความถูกต้อง เมื่อจะเอาผลงานแล้ว แม้เป็นเพียงผักชีโรยหน้าก็ยอมขายผ้าเอาหน้ารอดไปเดือนๆ  มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่บนเส้นตรง และเป็นที่น่าเคารพนับถือยิ่งนัก  คือท่านผู้จัดการเชาวลิต  สังขะวัฒนะ  ผู้เดียวในสายงานต่างจังหวัด 



แต่แม้จะมีปัญหามากมาย ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ การทำงานทุกแห่งย่อมมีปัญหาทั้งนั้น เขาถึงให้เรามาแก้ปัญหา  เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงสำหรับข้าพเจ้า ก็คือการบริหารงานในฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัด แม้จะเหนื่อยยากหนักหนาสาหัสเพียงใด  แต่ก็มีความสุข  เป็นความสุขที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงานจะมีก็เพียงบางคนที่คอยขวางลำ แต่ความสงบย่อมสยบความเคลื่อนไหวได้  งานมากมาย ยากเย็นแสนเข็ญก็ผ่านพ้นสำเร็จลุล่วง โดยเฉพาะช่วงที่มีการจัดมหกรรมขายทอดตลาด ที่เรียกว่าหนักหนาสาหัสมาก ที่จะต้องทำทุกอย่าง นับตั้งแต่หาสำนวนที่จะมาขาย  ถ่ายภาพทรัพย์ที่จะขาย  นำภาพถ่ายมาทำหนังสือเพื่อประชาสัมพันธ์การขาย  ตรวจ proof จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ก่อนส่งโรงพิมพ์  เตรียมสรุปข้อมูลราคาเพื่อพิจารณากำหนดราคาขาย  วางแผนออก  presale  และอื่นๆอีกมากมาย  ทำกันแทบจะไม่ไหวจนต้องรับพนักงานใหม่มาช่วย ข้าพเจ้าจำได้ว่าน้อง ๆ  ในสายงานอยู่ช่วยกันจนดึกดื่นทุกคืน  และมีพนักงานใหม่คนหนึ่งชื่อ นายเอกอัคร  ดีประดิษฐ์  อยู่ช่วยงานถึงตี ๓  ในบางวัน ข้าพเจ้ายังจดจำถึงน้ำใจของพวกเขาอยู่จนบัดนี้  ความร่วมมือของเพื่อนร่วมงานเช่นนี้ยากที่จะเห็นในฝ่ายไหนๆ ของธนาคาร   แต่มีให้เห็นที่ฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัด แล้วจะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร



ข้าพเจ้าเข้าทำงานธนาคารครั้งแรกอยู่ที่สาขาราชวงศ์ซึ่งเป็นสาขาแห่งแรกของธนาคาร มีคุณเจน ศิริวงศ์เป็นผู้จัดการสาขา การบริหารงานของคุณเจน ยึดหลักการบริหารแบบครอบครัว ใช้คุณธรรมในการบริหาร พนักงานทุกคนเหมือนดังเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน  เน้นให้ทุกคนรักกัน  ช่วยเหลือกัน  ทุกคนเรียกผู้จัดการเจนว่า อาปา ซึ่งแปลว่าพ่อ  การอยู่ที่สาชาราชวงศ์ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผูกพันกับธนาคารอย่างฝังลึก และทำให้ทุ่มเทกับงานธนาคารอย่างมากในเวลาต่อมา  จากการบริหารงานลักษณะครอบครัวที่สัมผัสมาจากสาขาราชวงศ์  เป็นเหมือนเบ้าหลอมข้าพเจ้าและได้นำมาใช้เมื่อเป็นผู้บริหารของฝ่ายประนอมหนี้ต่างจังหวัด  ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนคงรู้สึกไม่ต่างจากที่ข้าพเจ้าเคยรู้สึกในขณะนั้น  เป็นความสุขหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับในชีวิตการทำงาน



งานอันหนักยิ่งก่อนที่จะเกษียณจากธนาคาร เกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้  พรบ.ข้อมูลเครดิต  ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลของลูกหนี้ให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต และปรากฏความจริงว่าข้อมูลที่มีอยู่ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกธนาคารก็เป็นเหมือนๆกัน ภาระงานอันยิ่งใหญ่ของพวกเราก็คือต้องทำข้อมูลลูกหนี้ให้เกิดความถูกต้องก่อนที่จะส่งข้อมูลให้กับบริษัทข้อมูลเครดิต เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว  หนี้ทั้งหมดที่รับผิดชอบเกือบ ๓ หมื่นรายจะทำอย่างไรให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด  เรื่องนี้อลหม่านกันไม่น้อย  มีการประชุมกันแทบจะถี่ยิบ  ทั้งกำหนดวิธีการ  ปรับเปลี่ยนวิธีการ  เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกนับครั้งไม่ถ้วน  จนในที่สุดก็ได้รับความร่วมมือจากน้องๆเพื่อนร่วมงาน ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมดไปได้   ทุกรายเสร็จสิ้นในเดือน ธันวาคม ๒๕๕๔  ข้าพเจ้าก็เกษียณพอดี



เมื่อคิดถึงชีวิตการทำงานในธนาคารกรุงเทพ  ข้าพเจ้ามักจะนั่งยิ้มด้วยความสุขทุกครั้งไป   นับตั้งแต่วันเริ่มต้น จนถึงวันสุดท้ายของการทำงานที่ได้ถ่ายภาพร่วมกับผู้บังคับบัญชาในวันอำลา 



คุณพี่ ช่า..ช่า..ช่า




ฝ่ายประนอมหนี้ ถือเป็นหน่วยงานที่เก่าแก่หน่วยงานหนึ่งของธนาคาร  พนักงานในหน่วยงานจึงมีด้วยกันหลายรุ่น  พนักงานรุ่นแรก ๆ ที่สร้างทีเด็ดให้ฉันได้จดจำ เห็นทีจะไม่พ้นพี่สุเทพ  เพื่อนร่วมงานรุ่นดึกดำบรรพ์ ที่มีจุดเด่นในตัวเองอยู่หลายประการ

ประการแรกก็คือเรื่องความหล่อ ......พี่สุเทพเป็นคนที่เรียกว่าหล่อลากดินทีเดียว  หน้าเรียว  ตาโตและหวานซึ้ง   พนักงานประนอมหนี้รุ่นดึกดำบรรพ์ไม่มีใครหล่อเกินแก

ประการที่สองคือเรื่องการเดิน.......พี่สุเทพ จะมีลีลาในการเดินไม่เหมือนคนอื่น  นั่นคือแกจะเดิน 3 ก้าว กระโดด 1 ครั้ง ถ้าเปรียบเทียบกับท่วงทำนองจังหวะลีลาศ  ก็น่าจะคล้ายกับ ช่า..ช่า..ช่า.. คือ ก้าว.. ก้าว.. ก้าวชิดก้าว   จึงเป็นสัญญลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครเห็นท่าเดิน ไม่ต้องมองหน้า ก็รู้ได้ว่าเป็นที่สุเทพ  มีอยู่วันหนึ่ง ฉันขับรถไปหาพี่ชายที่อยู่บางกรวย  บังเอิญรถติดยาว ทำให้มีโอกาสได้มองโน่นนั่นนี่  เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เดิน ๆ ๆ กระโดด อยู่ริมฟุตบาทฝั่งตรงข้าม  ในใจคิดว่าในโลกใบนี้  ยังมีคนที่เดินเหมือนพี่สุเทพอีกหรือ  ครั้นเพ่งมองไปอีกครั้ง  ไฮ้.!  พี่สุเทพนั่นเอง  โอ้  ..พระเจ้า  พี่สุเทพไม่เคยเดินจังหวะอื่นเลยหรือนี่...นี่ขนาดแกเกษียณไปเกินกว่า 10 ปีแล้วนะ....

ประการที่สามคือเรื่องการคิดดี.........พี่สุเทพเป็นคนที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง  แกไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย  ไม่เคยโกรธใครเลย วันใดที่แกเสนอขออนุมัติฟ้องล้มละลายลูกหนี้  วันรุ่งขึ้นแกยังต้องทำบุญตักบาตรเพื่อขออโหสิกรรม  พี่สุเทพจะดีกับทุกๆ คนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  แต่โลกใบนี้ มักจะมีช่องว่างในทุกเรื่องอยู่เสมอ  ในความดีของพี่สุเทพที่ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร  จึงกลายเป็นจุดอ่อน  ที่ทำให้พี่สุเทพมักจะถูกน้อง ๆ  แกล้งอยู่เสมอ

พี่สุเทพเป็นคนที่ชอบกินกล้วยย่าง อย่างเป็นชีวิตจิตใจ มีอยู่วันหนึ่งพี่สุเทพ ถือถุงใส่กล้วยย่างลูกกลม ๆ  มา 3 ลูก โดยปกติแกจะกินกล้วยย่างจนหมดแล้วจึงไปเข้าห้องน้ำ  แต่วันนั้น สงสัยแกจะปวดมาก จึงวางถุงกล้วยย่างไว้บนโต๊ะ แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน  น้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งชอบกินกล้วยเหมือนกันแต่เป็นกล้วยทับแบน ๆ  แกล้งนำถุงกล้วยทับแบน  ไปวางสลับกับถุงกล้วยย่างกลมของพี่สุเทพ  และนำถุงกล้วยกลมมาแอบไว้   เมื่อพี่สุเทพเดินกลับนั่งโต๊ะ  และเปิดถุงกล้วย หวังจะกินให้อิ่มใจ  แต่ทุกคนแทบจะหัวเราะก๊าก  เมื่อเห็นพี่สุเทพ  มองกล้วยทับด้วยแววตาฉงน และขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่พักใหญ่แต่ก็กินกล้วยทับไปเหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง

นอกจากนี้ ยังมีอีก... มีอยู่วันหนึ่ง พี่สุเทพ ลุกจากเก้าอี้ไปเข้าห้องน้ำอีกนั่นแหละ  น้องคนหนึ่งได้นำขี้ปลอมที่เป็นพลาสติก  ไปวางไว้บนเก้าอี้ที่พี่สุเทพนั่ง   พอแกกลับมาเห็นเข้า  ทุกคนเห็นแววตาที่แสยะแบบสะอิดสะเอียน  แล้วแกก็ดึงกระดาษทิชชู ไปวางทับก้อนขี้ปลอมก้อนนั้น  ค่อย ๆ หยิบทิ้งถังขยะ  แล้วแอบเอามือมาดม เมื่อเห็นว่าไม่เหม็นก็ทำงานต่อไปโดยไม่ได้โวยวายว่าใครเลยแม้แต่น้อย .........

นี่คือความดีของพี่สุเทพ  ซึ่งหาได้ยากนัก ไม่ว่าจะเป็นสังคมยุคไหน  เป็นความดีที่ทำให้คนต้องระลึกถึง !
ความดีของพี่สุเทพ ที่ไม่เคยกล่าวร้ายใคร จึงเป็นที่จดจำอยู่ในใจของน้อง ๆ  ทุกคน และไม่มีใครลืมพี่สุเทพได้เลย.....

วันฉลองโบนัส




คนที่ทำงานธนาคาร จะมีความสุขได้อย่างน้อยก็ปีละ 2 ครั้ง นั่นก็คือวันที่โบนัสออกทั้งกลางปีและสิ้นปี  ในวันนั้นจะเป็นวันที่เห็นแต่รอยยิ้มของพนักงาน  หากใครไม่โดนหักชำระหนี้  ก็จะยิ้มกว้างหน่อย  ใครที่โดนหักชำระหนี้ ก็จะยิ้มมุมปากแบบที่คนเห็นแล้วก็ต้องเข้าใจว่า ปีนี้ยังไม่ใช่โอกาสของเขา

ฉันมีเพื่อนอยู่ 2 คนที่เมื่อได้โบนัสมา ก็จะต้องคำนวณทุกครั้งไปว่าได้ในสัดส่วนกี่เท่าของเงินเดือน สมเหตุสมผลกับผลกำไรจากการประกอบการของธนาคารหรือไม่  และจะต้องวิพากวิจารณ์กันมันหยดทุกครั้ง  หากไม่เป็นไปตามเหตุผลที่เหมาะสม

ในปีนั้น เพื่อน 2 คนนี้ได้กี่เท่าก็ยังไม่อาจเปิดเผยได้  เพราะการคำนวณยังไม่เสร็จสิ้น ก็เกิดอุบัติเหตุก่อนกับเพื่อนคนหนึ่ง  !
ซิบกางเกง แตกออกเป็น 2 ซีก ระหว่างการคำนวณ  ทำให้ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว  และพากันไปหาช่างซ่อมซิป  โดยทั้ง 2 ชวนกันไปที่ประตูน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งสารพัดอย่างที่มี  เมื่อไปถึงก็เลือกช่างซ่อมที่แก่หน่อย  ด้วยความเห็นใจสงสารและถือโอกาสทำบุญกับคนแก่ไปด้วยเลย ..................

แต่เรื่องที่ไม่คาดฝัน มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ ...............

ระหว่างที่ถอดกางเกงออกเพื่อให้ช่างซ่อม  โดยนุ่งผ้าขาวม้าแทนระหว่างรอการซ่อม นัยว่าไม่เกิน 10 นาทีก็จะแล้วเสร็จ แต่เป็น 10 นาที ที่มีอุบัติเหตุขึ้นซ้ำสอง  เมื่อเจ้าหน้าที่เทศกิจ เป่านกหวีดไล่ช่างซ่อมไม่ให้วางแผงเกะกะทางเท้า ทำให้ช่างซ่อมต้องยกหาบวิ่งหนีเจ้าหน้าที่เทศกิจ เพื่อจะไม่ให้โดนจับเสียค่าปรับ  จึงต้องวิ่งหนีกันไปพร้อมกันทั้งผู้รับจ้างและผู้ว่าจ้าง

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งสองครา  แม้จะเป็นเพียงเหตุเล็ก ๆ  แต่ก็ทำให้คิดได้ว่า....ในชีวิตของคนเรา  สิ่งที่ไม่คาดฝัน....มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกเวลานาที   !   สมควรรำลึกถึงหลักธรรมะ ในเรื่อง....ความไม่ประมาท  ให้เป็นนิจ  ! 

สุดท้ายแล้ว เพื่อนฉันคนนั้น ก็ยกเลิกการว่าจ้าง  รับกางเกงกลับคืนมาใส่ตามเดิม โดยแวะซื้อเข็มกลัดตัวเล็กๆ 1 โหลติดกลัดไว้รอบซิบแทน  มั่นคงแข็งแรงดีกว่าเป็นไหน ๆ   !

เป็นการฉลองโบนัสที่วิเศษสุด เท่าที่เคยได้ยินมา...ปีนั้น ไม่ว่าจะได้โบนัสกี่เท่า  ก็นับว่าคุ้มทีเดียว....

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

วัดในกลาง





วัดในกลาง ตำบลบ้านแหลม อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี  เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมานานเกินกว่า 200 ปีแล้ว เป็นวัดที่อยู่คู่ชุมชนชาวบ้านแหลมมาเป็นเวลานาน  กระดูกของบรรพบุรุษหลายตระกูลได้บรรจุไว้ที่เจดีย์ในบริเวณวัดแห่งนี้  รวมถึงกระดูกบรรพบุรุษตระกูลของข้าพเจ้า

ในวันที่ 14 เมษายน ของทุก ๆ ปี พวกเราลูกหลานจึงรวมตัวกันไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับกันเป็นประจำไม่เคยขาด และได้พบปะกับชาวบ้านอีกหลาย ๆ ผู้คนซึ่งมาทำบุญ มาติกา ในช่วงนี้อย่างมากมาย

วัดแห่งนี้แต่เดิมมีสภาพเก่าและทรุดโทรมมาก  ข้าพเจ้าจำความได้ว่า หลวงพ่อเพชร (พระครูพัชรคุณาธาร) ท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อน ได้เคยเตรียมการบูรณะครั้งยิ่งใหญ่  โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งจากกรมศิลปากร และชาวบ้านในท้องถิ่นร่วมบริจาคเงินจำนวนมาก แต่ท่านก็มาถึงแก่มรณภาพเสียก่อน ตั้งแต่ปี 2542  โดยก่อนการมรณภาพทราบว่าท่านได้ทำพินัยกรรมด้วยวาจามอบหมายให้ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน (พระมหาสมยศ ฐิติโก) ซึ่งมาจากสวนโมกข์ อำเภอไชยา ทำการบูรณะและทำนุบำรุงวัดให้ลุล่วง

การไปทำบุญที่วัดในกลางในปีนี้ จึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย  จากสภาพวัดที่ทรุดโทรมในครั้งก่อน ได้เปลี่ยนเป็นสภาพใหม่อย่างผิดตา จึงอยากบันทึกไว้เพื่อจดจำ


สภาพโบสถ์หลังเก่า



สภาพศาลาการเปรียญหลังเก่า


โยสถ์หลังใหม่

ศาลาการเปรียญหลังใหม่ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง



ศาลาการเปรียญหลังใหม่มีรั้วรอบขอบชิด


ภายในศาลาการเปรียญหลังใหม่ ประดิษฐานพระพุทธรูป สมัยสุโขทัย

ติดกับศาลาการเปรียญจะมีศาลาทรงไทยไม้สักประดิษฐานพระรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ชาวบ้านเคารพสักการะ





ประวัติศาสตร์ของศาลาการเปรียญหลังนี้ เดิมเป็นพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่รอดจากถูกพม่าเผาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าให้ย้ายพระที่นั่งองค์นี้ นำมาปลูกถวายเป็นศาลาการเปรียญวัดในกลาง (นามเดิม วัดกลางสนามจันทร์) ซึ่งเป็นมาตุภูมิของสมเด็จราชชนนีของพระองค์ คือกรมสมเด็จพระเทพามาตย์  "คุณแม่นกเอี้ยง"  เพื่อเป็นการขอบพระทัยต่อชาวบ้านแหลมที่เคยได้ช่วยเกื้อกูลต่อพระราชชนนีนกเอี้ยง ในยามบ้านเมืองเกิดศึกสงครามและในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ส่งพระราชชนนีนกเอี้ยงมาอยู่กับหมู่ญาติพี่น้องที่บ้านแหลม แขวงเมืองเพชรบุรี พร้อมๆกับพระราชทานถวายศาลาการเปรียญหลังนี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานพระพุทธรูป "หลวงพ่อสุโขทัย" ถวายวัดในกลาง และเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญคู่วัดในกลางมาตราบเท่าทุกวันนี้

ความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่วัดแห่งนี้ มีปรากฏให้เห็นโดยทั่วไป











ขณะนี้เหลือเพียงเมรุเผาศพ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จ ดูเพียงโครงสร้างก็มีความสง่างามอย่างเห็นได้ชัด



ปัจจุบันท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน (พระมหาสมยศ) ได้ปรับภูมิทัศน์ของวัดได้อย่างสวยงามมาก สร้างความสงบร่มรื่นเมื่อได้พบเห็น และยังมีการสอนปฏิบัติธรรม ในทุกๆวันเสาร์ อีกด้วย



วัดในกลางแห่งนี้  จึงเป็นหนึ่งในมรดกของชาวบ้านแหลม ที่ควรแก่การหวงแหนและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง



ขอขอบคุณภาพเก่าจากวัดในกลาง