บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

รำลึกเรื่องราวสงครามเก้าทัพ



เมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองที่หลายคนกล่าวขวัญถึงในด้านของแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน เนื่องจากมีรีสอร์ทที่สวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจอยู่หลายแห่ง  แต่จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากคนไทยจะลืมไปว่า บริเวณท้องที่แห่งหนึ่งของเมืองกาญจนบุรี เคยเป็นแผ่นดินประวัติศาสตร์แห่งการศึกสู้รบ ระหว่างไทย-พม่าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตกาล นั่นก็คือสงครามเก้าทัพ ที่พม่ายกทัพมาล้อมไทยทุกด้านเพื่อหวังจะขย้ำไทยให้ราบคาบเหมือนเช่นที่เคยล้อมและเผากรุงศรีอยุธยา  การสงครามในครั้งนั้น หากไทยเพลี่ยงพล้ำเป็นฝ่ายแพ้   ไทยอาจไม่เป็นไทยเช่นในทุกวันนี้

ในครั้งนั้นคือปี พ.ศ. 2328    พระเจ้าปดุง หลังจากบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์พม่าแล้ว ได้ยกทัพมาล้อมไทยถึง 9 ทัพ รวมไพร่พล 175,000 คน แยกออกเป็น 5 เส้นทางด้วยกันคือ

เส้นทางมะริด  ด้วยกำลังพล  11,000
เส้นทางทวาย  ด้วยกำลังพล  11,000
เส้นทางเชียงใหม่  ด้วยกำลังพล 33,000
เส้นทางระแหง  ด้วยกำลังพล 5,000
เส้นทางไทรโยค ผ่านด่านพระเจดีย์สามองค์  ด้วยกำลังพล 115,000  โดยมีพระเจ้าปดุงเป็นผู้นำทัพ

เท่ากับทัพพม่ายกมาล้อมทุกด้าน  หวังตีตั้งแต่ทางใต้ขึ้นมา  ทางเหนือลงไป และสมทบกับทัพที่จะเข้ามาจากตะวันตก ทางด่านแม่ละเมา  และด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งดูสภาพแล้ว ไม่มีหนทางที่จะไม่ชนะ  เพราะกำลังพลมากมายมหาศาล  เมื่อเทียบกับไทย ซึ่งหลังจากที่พระเจ้าตากสินกู้ชาติแล้ว ก็เพิ่งจะเริ่มกอบกู้ประเทศกันมาได้ไม่นาน  พม่าคาดการณ์ว่าไทยยังไม่เป็นปึกแผ่น

และก็เป็นจริงดังที่พม่าคาดการณ์ ฝ่ายไทยรวบรวมกำลังพลได้เพียง 70,000  น้อยนิดนักเมื่อเทียบกับกำลังพลของทัพพม่า  ฝ่ายไทยซึ่งอยู่ในช่วงแผ่นดินของรัชกาลที่ 1  อยู่ระหว่างการฟื้นฟูประเทศ การศึกครั้งนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยสติปัญญาเพียงเท่านั้นถึงจะมีหนทางชนะพม่า  โดยต้องชนะด้วยกลยุทธ

โชคดีที่แผ่นดินไทยมีพระสยามเทวาธิราช ปกป้องคุ้มครอง   จึงทำให้สามารถระดมกำลังพลที่มีฝีมือดีมาได้  กำลังพลของไทย ก็คือทหารเสือของพระเจ้าตากนั่นเอง  ภายใต้การนำทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  พระอนุชาของรัชกาลที่ 1   ทำให้ไทยมีชัยเหนือพม่า

กระบวนยุทธวิธีในการรับศึกครั้งนี้  ไทยไปตั้งรับข้าศึกที่ทุ่งลาดหญ้า  ในเขตเมืองกาญจนบุรีเก่า ซึ่งอยู่บริเวณเขาชนไก่  คราวนั้นผิดกับวิธีที่ไทยได้เคยต่อสู้กับพม่ามาแต่ก่อน ซึ่งมักจะใช้ตัวพระนครเป็นจุดตั้งรับศึก  ปล่อยให้พม่าล้อมไทยจนถึงฤดูน้ำหลาก พม่าก็จะขาดเสบียง และถอยทัพกลับไปเอง  ยกเว้นคราวใดที่เห็นว่าพอจะมีกำลังต่อสู้กับข้าศึกที่ยกมาได้  ก็จะยกออกไปดักตีข้าศึกให้แตกในกลางทางเสียก่อนที่จะเข้ามาถึงชานพระนคร ซึ่งโดยมากมักจะรบกันที่สุพรรณบุรีบ้าง อ่างทองบ้าง เฉพาะเมื่อครั้งที่อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310  พระเจ้าเอกทัศน์ปล่อยให้พม่ามาล้อมไทยจนถึงฤดูน้ำหลาก  แต่การกลับเป็นว่าพม่ากลับไม่ยอมถอยทัพกลับเหมือนเช่นเคย  กลับล้อมไทยอยู่จนไทยกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเองเพราะขาดเสบียง  จนเกิดความระส่ำระสายในแผ่นดิน และต้องเสียกรุงไปในที่สุด

การเสียกรุงในครั้งนั้นจึงเป็นบทเรียนที่ทำให้ไทยต้องปรับวิธี  รัชกาลที่ 1 และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  พระอนุชา  จึงได้วางกลยุทธที่จะนำกำลังไปรับข้าศึกที่ชายแดน โดยไปตั้งรอรับที่ทุ่งลาดหญ้าด้วยเห็นว่าทุ่งลาดหญ้าอยู่ตรงเชิงเขาบันทัด ทางที่พม่าต้องเดินทัพข้ามมา  ถ้าไทยรักษาทุ่งลาดหญ้าไว้ได้  กองทัพพม่าที่ยกเข้ามาก็ต้องตั้งอยู่บนภูเขาอันเป็นที่กันดาร จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพและจะเดินกระบวนทัพก็ยากลำบาก  เปรียบเหมือนข้าศึกอยู่ในตรอก  ไทยสกัดคอยอยู่ปากตรอก แม้กำลังจะน้อยกว่า ก็พอจะต่อสู้ได้ด้วยอาศัยชัยภูมิเป็นตัวช่วย



การก็เป็นจริงเช่นนั้น  เมื่อกองทัพหน้าของพม่ายกเข้ามาปะทะกองทัพไทยที่ตั้งสกัดอยู่ทุ่งลาดหญ้า ก็ต้องหยุดอยู่เพียงเชิงเขา เมื่อกองหน้าหยุดอยู่เพียงเชิงเขา กองทัพที่ยกตามมาก็ต้องหยุดอยู่บนภูเขาเป็นระยะกันไป เมื่อกองทัพต้องอยู่บนเขา จะหาเสบียงอาหารจากในแดนไทยก็ไม่ได้ ต้องกลับไปหาบเสบียงจากแดนพม่าข้ามเข้ามาส่งกันทุกทัพ  เป็นอุปสรรคต่อกองทัพพม่าเป็นอย่างยิ่ง


พม่าได้ตั้งค่ายที่เชิงเขาบันทัด  กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็สั่งให้ตีค่ายพม่า เกิดการสู้รบติดพันกัน  ฝ่ายพม่าได้ปลูกหอรบเอาปืนใหญ่ยิงค่ายไทย  กรมพระราชวังบวร ฯ ก็ให้เอาปืนใหญ่ยิงสู้และใช้ปืนปากกว้างบรรจุท่อนไม้แทนกระสุนยิงต่อสู้กันไป จนหอรบพม่าพังทลายลง  พร้อมๆ กับตั้งกองโจรคอยสกัดตีขบวนลำเลียงอาหารที่มาส่งยังกองทัพพม่า  จนพม่าขัดสนเสบียงอาหาร  และใช้อุบายลวงทัพพม่าว่าไทยมีกำลังมาก โดยแบ่งกองทัพให้ลอบออกจากค่ายในเวลากลางคืน   และให้ถือธงทิวเป็นกระบวนทัพกลับเข้ามาตอนรุ่งเช้า  จนพม่าเข้าว่าไทยมีกำลังทัพมาเสริมอยู่เนือง ๆ  จึงเกิดครั่นคร้าม
พระเจ้าปดุงเห็นว่ากองกำลังทัพของไทยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่กองกำลังของตนขัดสนเสบียงอาหาร หากปล่อยให้กองทัพเดินหน้าต่อไป  ก็น่าจะเกิดความสูญเสียมากกว่า จึงได้ถอยทัพกลับเมาะตะมะ

การศึกครั้งนั้นไทยจึงมีชัย ด้วยกลยุทธและพระปรีชาสามารถของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโดยแท้ สมควรที่คนไทยทั้งหลายจะพึงสังวรณ์ และตระหนักถึงบุญคุณอันใหญ่หลวง  ที่ท่านได้รักษาแผ่นดินไทยให้พวกเรารุ่นหลังได้อยู่กันอย่างสุขสบาย  มติชนอคาเดมี ได้นำพวกเราไปสักการะพระรูปของท่านที่ทุ่งลาดหญ้า  โดยมีท่านรองศาสตราจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ เป็นผู้บรรยายถึงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าดังกล่าวให้พวกเราได้รำลึกถึงกัน




เมืองกาญจนบุรี จึงมีความหมายยิ่งสำหรับคนไทยทุกคน  จุดที่เป็นสถานที่ซึ่งกระพระราชวังบวร ฯ ให้ตั้งค่ายรบคือบริเวณเมืองกาญจน์เก่า ซึ่งอยู่บริเวณเขาชนไก่ ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของแนวกำแพงเมืองเท่านั้น  ส่วนทัพหลวงจะอยู่บริเวณปากแพรก


ซากแนวกำแพงเมืองเก่า



ซากแนวกำแพงเมืองเก่า ยาวจรดแม่น้ำแคว

จากการปรับกลยุทธการรับศึก จากการใช้พระนครเป็นจุดรับศึก เปลี่ยนมาเป็นการใช้หัวเมืองเส้นทางเดินทัพเป็นจุดรับศึก ทำให้เมืองกาญจนบุรี ถูกปรับเป็นศูนย์บัญชาการและสมรภูมิรับศึกสำคัญ โดยเฉพาะบริเวณปากแพรก ที่ใช้เป็นจุดตั้งทัพหลวง  จนถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 จึงให้ย้ายที่ตั้งของเมืองกาญจน์จากเขาชนไก่มาเป็นที่ปากแพรกเป็นการถาวรสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน





เมืองกาญจนบุรี  มีที่มาที่เล่าขานกันได้อีกยาวนานหลายเรื่องราว  แม้ปัจจุบันสถานที่หลายแห่งจะกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ  แต่ประวัติศาสตร์ก็ยังคงเป็นประวัติศาสตร์ ที่คนไทยควรรำลึกถึง เพราะนั่นคือความจริงที่เกิดขึ้น ก่อนจะมาเป็นประเทศไทยที่รุ่งเรืองในปัจจุบัน.........

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

อาลัยพี่สาวที่แสนดี..ดร.จารีต องคะสุวรรณ





ดร.จารีต องคะสุวรรณ  พี่สาวที่แสนดีของข้าพเจ้า   ได้จากไปแล้วอย่างสงบเมื่อเวลา 05.00 น. ก่อนที่ฟ้าจะสาง ในวันที่ 9 มีนาคม 2556   เป็นการจาก...ที่ไม่มีวันหวนคืน  จากไป....ชั่วนิจนิรันดร์

"พี่เนี๊ยว" คือพี่สาวที่น้อง ๆ ทุกคนให้ความรักและเคารพอย่างเต็มหัวใจ  เป็นผู้ที่มีจิตใจงดงาม อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง  สนุกสนานแต่มีระเบียบ ดูเหมือนจะเป็นคนดุ แต้แท้จริงมีแต่ความห่วงใยน้อง ๆ ทุกคน

มารดาของพี่เนี๊ยว เป็นน้องสาวมารดาข้าพเจ้า  ชีวิตวัยเด็กของพี่น้องทั้ง 2 ครอบครัวของเราจึงเติบโตมาด้วยกัน ด้วยความรักและผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง  พี่เนี๊ยวเกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2480  ที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี   เข้าศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนวัดลักษณาราม และวัดต้นสน  ระดับมัธยมที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ จังหวัดเพชรบุรี และวัฒนาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร  ระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ปริญญาเอกที่ Illinois university  อเมริกา  จึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีความมุมานะอย่างสูงยิ่ง  เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวและญาติพี่น้องทุกคน


เมื่อครั้งกลับมาสอนที่อรุณประดิษฐ์

ความผูกพันที่พี่เนี๊ยวมีต่อโรงเรียนอรุณประดิษฐ์เมื่อครั้งเยาว์วัย  ทำให้พี่เนี๊ยวกลับมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์  เมื่อปี พ.ศ. 2503  หลังจากที่จบปริญญาตรีแล้ว  สอนอยู่ระยะหนึ่งเป็นเวลา 4 ปี  จึงโยกย้ายไปสอนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กรุงเทพมหานคร และเติบโตในหน้าที่การงานมาตามลำดับ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2543 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

เมื่อพ้นเกษียณจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน  ก็ได้ไปช่วยงานที่สมาคม YWCA   จนเมื่อ พ.ศ. 2548 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม YWCA   พี่เนี๊ยวทำงานเพื่อสังคมกับสมาคม YWCA เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2553  ต้องยอมวางมือเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ

ตลอดชีวิตการทำงานของพี่เนี๊ยวได้ทุ่มเทให้กับวงการศึกษาและสังคมมาโดยตลอด จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฏไทยชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2534 และได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็นผู้บริหารดีเด่นระดับมัธยมประจำปี พ.ศ. 2545 จากคุรุสภา  พร้อมรับเข็มทองคำคุรุสภา เมื่อ 16 มกราคม 2545

คุณความดีที่ได้สั่งสมมาตลอดชีวิต ส่งผลให้ชีวิตของพี่เนี๊ยวมีแต่ความสุขสมหวัง พี่เนี๊ยวมีครอบครัวที่อบอุ่น  พี่กำจร องคะสุวรรณ ผู้เป็นสามีเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน เอื้ออารี    ทพญ.จามรี ตันไพฑูรย์ดิถี  หลานสาว  และนายรณวีร์ องคะสุวรรณ  หลานชาย  ก็ล้วนแต่ประสพความสำเร็จทั้งในชีวิตการงานและชีวิตครอบครัว



ตา-ยาย @ paragon

มิเพียงเฉพาะครอบครัวของพี่เนี๊ยวเท่านั้น  พี่เนี๊ยวยังเอื้ออารีต่อญาติพี่น้อง  ในทุก ๆ ปี พี่เนี๊ยวจะเป็นตัวตั้งตัวตี ในการระดมพล บรรดาพี่น้องให้เข้ามาพบปะกัน  โดยถือเอาวันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันสังสรรค์  นับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา  ในวันที่ 12 สิงหาคมของแต่ละปี  นอกจากจะเป็นวันแม่ของแผ่นดินแล้วยังเป็นวันที่พวกเราเรียกว่า "วันรวมญาติ"  ของพวกเรา  ที่ทุก ๆ ครอบครัวจะหอบลูกจูงหลาน มาพบปะกัน  เนิ่นนานมาเป็นเวลานับสิบปี


วันรวมญาติครั้งแรก

รวมญาติครั้งสุดท้าย

แต่ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนเป็นอนิจจัง  ไม่มีสิ่งใดแน่นอนตลอดไป  เมื่อมีความสุข ก็ย่อมต้องมีความทุกข์สลับกัน   ในวันหนึ่งที่บรรดาพวกเราพี่น้องรับทราบข่าวการเป็นมะเร็งของพี่เนี๊ยว  จึงมีความทุกข์และเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง  แต่พี่เนี๊ยวเองกลับมิได้มีความกังวลกับโรคร้ายของตัวเองสักเท่าใดนัก ตรงกันข้าม กลับมีจิตใจเข้มแข็งในการต่อสู้กับโรคร้าย  และให้ความร่วมมือกับแพทย์ผู้ทำการรักษาทุกกรณี 

ในการเข้ารับการรักษาช่วงต้น ๆ พี่เนี๊ยวยังมีจิตใจเผื่อแผ่ความสุขให้ผู้อื่น  ด้วยการส่งรูปดอกไม้ที่สวย ๆ งาม ๆ ให้แก่เพื่อน ๆ ใน facebook  จนผู้รับพอใจ และส่งคำขอบคุณมาโดยไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นพี่เนี๊ยว อยู่ระหว่างการรักษาโรคร้าย ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน



รูปที่พี่เนี๊ยวส่งให้ทาง facebook

นานนับปีทีเดียวที่พี่เนี๊ยวสามารถชนะโรคร้ายได้  และมีโอกาสใช้ชีวิตช่วงหนึ่งไปเที่ยวอเมริกากับพี่น้องและลูกหลาน  คงจะเป็นความสุขช่วงสุดท้ายที่พระเจ้าประทานให้..ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามพระบัญชา


อาการกลับมากำเริบอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้  พี่เนี๊ยวต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง  การเข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้  เป็นการเข้าไปชั่วนิรันดร์ เพราะมิใช่เพียงการเข้าไปเพื่อรักษาโรคร้ายเพียงเท่านั้น  แต่เป็นการเข้าไปในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า แผ่นดินที่มีแต่ความสุขสงบ ชั่วนิจนิรันดร์

บัดนี้เธออยู่ในอ้อมแขนของพระเจ้าแล้ว ซึ่งรับเธอไว้ในอาณาจักร์ของพระองค์ อาณาจักร์ของผู้ให้  ที่มีแต่ความสุข..สงบ  ตลอดกาล......พวกเราพี่น้องทุก ๆ คน จะไม่มีวันลืมความดีงาม  ความเอื้ออารี  ของเธอ ดร.จารีต องคะสุวรรณ  พี่สาวที่แสนดี..แน่นอน