บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวฮานอย...ตะลุยฮาลอง






 
ในบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  ดูเหมือนว่าเวียตนามจะเป็นประเทศที่น่าเห็นใจเป็นที่สุด เวียตนามมีประวัติความเป็นมาที่โหดร้ายจากภัยสงครามที่ถูกต่างชาติรุกรานมาตลอดอย่างต่อเนื่องและยาวนาน  สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งของเวียตนาม จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ดูแล้วชวนให้ขมขื่นใจเป็นอย่างยิ่ง  สิ่งเหล่านี้เองที่ช่วยบ่มเพาะให้คนเวียตนามมีจิตใจเป็นนักสู้ที่ทรหดอดทน และขยันขันแข็งเหนือกว่าคนในภูมิภาคเดียวกัน
 


เป้าหมายการท่องเที่ยวของคณะเราซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณจากหน้าที่การงานแล้ว คือการไปชมความสวยงามของฮาลองเบย์  มรดกโลกทางธรรมชาติที่อยู่ทางด้านเหนือของเวียตนาม การเดินทางของเราจึงบินไปลงที่สนามบินนอยไบเมืองฮานอย เมืองหลวงที่เก่าแก่ของเวียตนามที่มีอายุครบ 1000 ปี เมื่อ ค.ศ.2010  ที่ผ่านมา



เมืองฮานอยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแดง แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนเวียตนามมายาวนาน สภาพโดยทั่วไปของเมืองฮานอย ค่อนข้างแออัด ด้วยความที่เป็นเมืองธุรกิจ ที่ดินจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว ทุกตารางนิ้วถูกใช้อย่างจำกัด แต่ละบ้านจะปลูกบนเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวา ต้องใช้ประโยชน์ในด้านความสูงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ละหลังจะดูเหมือนเป็นแท่ง ๆ อยู่โดยทั่ว



 


 
ย่านชุมชนหลักของฮานอย คือบริเวณถนน 36 สายซึ่งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย  เป็นย่านการค้าที่คึกคักที่สุดของเวียตนาม มีสินค้าจำหน่ายทุกประเภท   ถนน 36  สายที่ว่านี้ แต่ละสายจะเป็นสายสั้น ๆ  และขายของเป็นประเภท ๆ ไป ถนนสายไหนขายเสื้อผ้าก็จะขายกันตลอดสาย  สายไหนขายเครื่องกีฬา ก็จะขายกันทุกร้าน  สายไหนขายของกินก็จะขายเหมือน ๆ กันทั้งถนน  ฉะนั้นของทุกชนิด ทุกประเภท จะหาซื้อได้ที่บริเวณถนน 36 สายแห่งนี้  เรียกว่าเดินกันจนเมื่อยก็ยังไม่ทั่ว  คณะของเราไม่มีผู้ใดคิดอาจหาญที่จะเดินแม้แต่คนเดียว  จึงตกลงว่าจ้างรถตุ๊ก ๆ  ให้พาวิ่งชมจนทั่ว







ในเมืองฮานอย ยังคงพบเห็นสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศสที่หลงเหลืออยู่หลายแห่งและได้รับการอนุรักษ์ไว้จนปัจจุบัน  อาคารเหล่านี้จะมีลวดลายที่สวยงาม   และมีสีเหลืองโดดเด่น  ตามสไตล์ความนิยมของคนฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมของเวียตนามในอดีต   มีต้นไม้รายล้อมสองข้างทางที่ดูแล้วให้ความร่มรื่นใจเป็นอย่างมาก

 

 


สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮานอย มีอยู่หลายแห่ง ส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นวัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นด้วยความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนเวียตนาม... ..วัดเฉินก๊วก คือจุดแรกของการเที่ยวชม วัดนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียตนาม  ตั้งอยู่กลางทะเลสาบด้านตะวันตกของเมืองฮานอย  จุดเด่นของวัดนี้คือเจดีย์ทรง 6 เหลี่ยม สูง 11 ชั้น ที่เป็นเสมือนที่สถิตย์ของเทพเจ้าต่าง ๆ ที่คอยปกป้องคุ้มครองคนเวียตนาม  ในแต่ละวันจึงมีผู้คนเข้ามาสักการะมากมาย  เพราะมีน้ำล้อมรอบ อากาศบริเวณวัดจึงเย็นสบาย ๆ  มีสายลมเย็นๆ โชยจากผิวน้ำพัดมาสัมผัสกายตลอด  ทำให้จิตใจชุ่มชื่นได้อย่างประหลาดทีเดียว  ขนาดนักท่องเที่ยวเช่นพวกเรา ยังติดใจกันทุกคน



 
 
 





วัดวิหารวรรณกรรม เป็นอีกแห่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของฮานอย เป็นวัดโบราณที่เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียตนาม ที่กษัตริย์พระองค์หนึ่งได้โปรดให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีนผู้ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง   ในอดีตเคยเป็นโรงเรียนสำหรับขุนนางและใช้เป็นที่สอบจอหงวน  ภายในวัดจะมีป้ายหินที่ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านเป็นจอหงวนปรากฏอยู่ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักศึกษาเวียตนามที่นิยมมาถ่ายรูปรับปริญญากัน ช่วงที่คณะเราไปเที่ยวก็เป็นช่วงดังกล่าวพอดี ผู้คนจึงคึกคักมาก

 









ใกล้ ๆ กับถนน 36 สาย จะมีทะเลสาบแห่งหนึ่งเรียกกันว่า ทะเลสาบคืนดาบ   ไกด์ทัวร์เล่าให้ฟังถึงตำนานที่บอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า ในอดีตช่วงที่เวียตนามทำสงครามรบพุ่งกับจีน ไม่เคยที่เวียตนามจะมีชัยชนะเหนือจีนเลยสักครั้งเดียว จนกษัตริย์ผู้ปกครองนครเกิดความท้อแท้พระทัย วันหนึ่งได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ เกิดปาฏิหารย์พบเต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งคาบดาบมาให้พระองค์ หลังจากรับดาบมาแล้วพระองค์เกิดพลังใจในการต่อสู้  จนกระทั่งสงครามครั้งสุดท้าย เวียตนามสามารถมีชัยชนะเหนือจีนได้   หลังจากเลิกรบพุ่งกับจีน มีเวลาทำนุบำรุงให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข  พระองค์ก็ได้นำดาบนี้มาคืน ณ.ทะเลสาบแห่งนี้ จึงได้เรียกขานกันว่า"ทะเลสาบคืนดาบ"  นั่นคือประวัติศาสตร์ที่เล่ากันสืบต่อมา ที่กลางทะเลสาบแห่งนี้มีวัดอยู่แห่งหนึ่งชื่อวัดหงอกเซิน   มีเต่าขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งได้รับการสต๊าฟไว้ คนเวียตนามเชื่อกันว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 ตัว ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาช้านาน
 













วัดเจดีย์เสาเดียวเป็นอีกแห่งหนึ่งที่คนเวียตนามเคารพสักการะมาก  วัดนี้ตั้งอยู่กลางสระบัว สภาพคล้ายศาลาที่ตั้งอยู่บนเสาเดียวขนาดใหญ่ ตามประวัติเล่ากันว่ามีกษัตริย์พระองค์หนึ่งที่อยากมีพระโอรสแต่ก็ไม่เคยสมพระทัย  จนคืนหนึ่งได้สุบินเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมมาปรากฏที่สระบัวและประทานโอรสให้  จากนั้นไม่นานพระองค์ก็มีพระโอรส  จึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่เจ้าแม่กวนอิม ผู้ประทานพรให้แก่พระองค์  วัดนี้จึงถือเป็นจุดขายแห่งหนึ่งที่ไกด์เวียตนามมักจะแนะนำให้ขอพร แล้วจะได้สมดังใจ คนเวียตนามและคนเอเซียโดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ วัดจึงเป็นที่พึ่งทางใจของคนทุกชนชั้นเสมอมา  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงมักปฏิบัติตามคำแนะนำของไกด์กันทุกคน



วัดเจดีย์เสาเดียว



การไปท่องเที่ยวประเทศเวียตนาม ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ  ภาคกลาง  หรือภาคใต้  สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการเข้าชมเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลุงโฮ  หรือประธานาธิบดีโฮจิมินห์ มหาวีรบุรุษและนักปฏิวัติแห่งเวียตนามผู้ทำการปลดแอกเวียตนามจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และทำการรวมเวียตนามเป็นหนึ่งเดียวในเวลาต่อมา ลุงโฮที่คนเวียตนามศรัทธานับถือและยึดเป็นคนต้นแบบ  เมื่อได้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ของลุงโฮแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคนเวียตนามจึงรักและศรัทธา มหาวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อย่างมากมาย





ลุงโฮ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2433  ในจังหวัดเหงะอาน เขตภาคกลางตอนเหนือของเวียตนาม ช่วงที่เวียตนามยังเป็นประเทศยากจนและยังเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส บิดาของลุงโฮ เป็นชาวนาที่มีการศึกษาและมีความคิดก้าวหน้า พี่น้องทุกคนของลุงโฮจึงได้รับแนวคิดจากบิดามาทั้งหมด มารดาของลุงโฮเสียชีวิตตั้งแต่ลุงโฮมีอายุเพียง 10 ขวบหลังจากมารดาเสียชีวิต บิดาก็พาครอบครัวมาทำมาหากินที่เมืองเว้  เขาจึงไปเรียนหนังสือที่เมืองเว้ แต่ก็ถูกให้ออกกลางคันด้วยเหตุผลว่าเป็นพวกหัวรุนแรงต่อต้านฝรั่งเศส เขาเคยถูกจับฐานขโมยอาวุธจากฝรั่งเศสให้พวกกู้ชาติ พี่น้องของเขาซึ่งร่วมขบวนการกู้ชาติก็ถูกจับกุมอยู่หลายปี    การถูกให้ออกจากโรงเรียนทำให้ชีวิตเขาพลิกผัน ต้องหางานทำเพื่อยังชีพ เขาเดินทางจากเว้ ไปดานัง ไซ่่ง่อน และได้งานทำบนเรือเดินสมุทรของฝรั่งเศส ในหน้าที่ลูกมือคนทำครัว ช่วงเวลา 2-3 ปี ที่เขาทำงานบนเรือเดินสมุทรทำให้มีโอกาสไปหลายประเทศ  สามารถพูดได้หลายภาษา และพบเห็นประสพการณ์มากมาย ที่สำคัญได้พบเห็นความเหลื่อมล้ำจากการดูถูกเหยียดหยามสีผิวของชาวฝรั่งเศสที่มีต่อคนผิวดำซึ่งมีสภาพชีวิตที่หดหู่ไม่ต่างจากคนเวียตนาม   สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมจิตใจให้เขาคิดต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม



ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง มีการจัดประชุมผู้นำประเทศผู้ชนะสงครามที่เมืองแวร์ซายด์  โฮจิมินห์ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส  ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอให้เวียตนามมีสิทธิปกครองตัวเอง แต่ปรากฏว่าไร้ผล ทำให้เขาตัดสินใจรวมตัวกันกับพรรคพวกที่มีอุดมการณ์จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ที่ฝรั่งเศสเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ และต้องเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง เนื่องจากถูกตำรวจฝรั่งเศสจับตามอง  จนพรรคมิวนิสต์ต้องส่งเขาไปอยู่ที่มอสโคว์  รัสเซีย อยู่ช่วงหนึ่ง  หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อรวบรวมชาวเวียตนามที่หลบหนีอยู่ในจีนให้ร่วมมือกันต่อต้านฝรั่งเศส



ในปี พ.ศ. 2471  ลุงโฮได้เดินทางเข้ามาในไทย  เพื่อเผยแพร่แนวคิดปฏิวัติกู้เอกราชเวียตนาม มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับ ๆ ในกรุงเทพ  พิจิตร  อุุดร  หนองคาย  และบ้านนาจอก  นครพนม ซึ่งเปรียบเสมือนที่พักพิงและแหล่งบัญชาการในการกูู้เอกราช โดยได้ก่อตั้งขบวนการเวียตมินห์เพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส  จนกระทั่งมีชัยชนะเหนือฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู  ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ฝรั่งเศสยอมเจรจาสงบศึกที่เจนีวา  ลงนามโดยประเทศมหาอำนาจทั้งหมด  ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ยอมลงนามโดยหวังจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือเวียตนามแทนฝรั่งเศส  และทำให้เวียตนามต้องทำสงครามต่อสูู้กับอเมริกาอีกในเวลาต่อมา



ชีวิตของลุงโฮ  ติดดินและเรียบง่าย  บ้านของลุงโฮ เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ  ที่แทรกตัวอยู่ในบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีอันกว้างใหญ่   ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรู ๆ เฉกเช่นที่ผู้นำประเทศปฏิบัติกัน จะมีเพียงตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ  เตียงนอนเก่า ๆ ที่ปูไว้ด้วยเสื่อกก  โต๊ะทำงานเล็ก ๆ  เท่าที่จำเป็นเท่านั้น   ผู้นำประเทศที่เป็นเช่นนี้จะมีเพียงสักกี่คนในโลกใบนี้











ข้าพเจ้าเคยถามไกด์เวียตนามว่า  พวกเขารักลุงโฮขนาดไหน  คำตอบของเขาทำให้ข้าพเจ้าอึ้งไปทีเดียว  เธอตอบว่า "   เขารักและเทิดทูนลุงโฮ เหมือนกับที่คนไทยรักและเทิดทููนในหลวง"  คำตอบเพียงเท่านี้ก็ทำให้สามารถเข้าใจได้เลยว่าลุงโฮ ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนเวียตนามเพียงใด  พวกเขารักลุงโฮมากจริง ๆ 






พิพิธภัณธ์โฮจิมินห์ได้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวิถึชีวิตของคนเวียตนามในอดีต  และสะท้อนเรื่องราวของการต่อสู้ ที่ยืดเยื้อยาวนาน  กว่าจะมาเป็นเวียตนามในปัจจุุบัน   เป็นประวัติศาสตร์ที่คนเวียตนามต้องจดจำ  ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้มค่าอย่างมากกับการเดินทางไปท่องเที่ยวเวียตนามในครั้งนี้











ในที่สุดเราก็มาถึงเป้าหมายของการท่องเที่ยว นั่นคืออ่าวฮาลองที่ใคร ๆ  หลงใหลกันนักหนา ความสวยงามของอ่าวฮาลอง   เชื่อว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าที่นี่สวยงามมากจริง  ๆ






คณะของเราไปถึงอ่าวฮาลองช่วงเย็น  พักค้างคืนที่โรงแรมริมอ่าวฮาลอง  เพื่อที่จะได้นั่งเรือล่องอ่าวได้แต่เช้า   ทัวร์ทุกกรุ๊ปก็คงทำแบบเดียวกัน  จึงทำให้กลางคืนที่นี่คึกคักมาก  จะมีตลาดขายของกลางคืนเรียกกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่า  Night market  ทุกคนที่มาต่างก็ออก shopping กันที่ night market  กันทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าพื้นเมืองของเวียตนามและสินค้าลอกเลียนที่ผลิตในเวียตนามเช่น กระเป๋า Kipling  ,  รองเท้า  Onitsuka tiger    คณะของพวกเราไม่มีใครน้อยหน้ากัน  ทุกคนได้ของติดไม้ติดมือกันมาถัวนหน้า  คุณจิ๋ว (ปนัดดา บุญกาญจนพาณิชย์)     และคุณหมี (พัชนี อินทรลักษณ์)  เธอได้กระเป๋า Kipling  รูปแบบต่างมาหลายใบ  ส่วนข้าพเจ้า , คุณบี๋ (โสภิต  เลิศชนะพรชัย) , คุณหมิ (เบญจมาศ  โรจน์วนิช)  ได้รองเท้ามาคนละคู่  ยกเว้นคุณหนู (พนิดา  ฟังธรรม)  เธอบ้าซื้อทุกอย่าง  จึงได้ทั้งรองเท้าและกระเป๋า  เต็มไปหมด  คณะของพวกเราได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่เวียตนามได้ไม่น้อยเลยทีเดียว  คืนนั้นพวกเราเดินกลับโรงแรมด้วยความเมื่อยล้าจากการ  shopping  ที่  night market 




การท่องเที่ยวทุกครั้ง เราจะเคยชินกับรหัสที่จะต้องปฏิบัติคือ  6-7-8  นั่นคือตื่น 6  โมง  ทานเข้า 7  โมง เดินทาง  8 โมง  ครั้งนี้ก็เช่นกันหลังจากทานเข้าเสร็จ  ก็ออกจากโรงแรมตรงไปท่าเรือฮาลองเพื่อขึ้นเรือล่องอ่าว   เรือที่นี่มีมากมายน่าจะนับพันลำ  นั่นแสดงว่านักท่องเที่ยวต้องหลายหมื่น  คึกคักหนาแน่นมากทีเดียวจนไกด์เกรงพวกเราจะหลง ต้องขอร้องให้ใส่หมวกที่แจกให้ตั้งแต่วันแรกเพื่อจะได้เห็นกันง่าย ๆ  สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ชอบเอามาก ๆ  ก็คือการที่ไกด์ชอบเดินถือธงนำหน้า   และให้พวกเราเดินตาม ทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นลูกเป็ดหลงทาง ยังไงก็ไม่รู้  แต่ถึงกระนั้นเราก็ยอมเดินตามโดยง่ายดาย แถมบางแห่งต้องวิ่งด้วยซ้ำ  ไกด์ทุกบริษัททำไมถึงเดินเร็วกันนัก








อ่าวฮาลองกว้างใหญ่ไพศาลมาก กินเนื้อที่มากถึง 1,500  ตารางกิโลเมตร  มีเกาะหินปูนน้อยใหญ่มากมายกว่า 1,900 เกาะ   จึงทำให้ดูสวยงามแปลกตา จนได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี  2554  เมื่อล่องเรือไปเรื่อย ๆ  ก็จะพบเห็นเกาะหินปูนที่มีรูปร่างต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของแต่ละคน ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามมาก
















เราล่องเรือจนไปถึงถ้ำแห่งชื่อเรียกชื่อกันว่า "ถ้ำสวรรค์"   ภายในถ้ำจะพบเห็นหินงอกหินย้อยที่สะสมตัวมานานนับพันปี สวยงามมาก











พวกเราเที่ยวชมจนได้เวลาอาหารเที่ยง  ทุกคนก็รวมตัวกันขึ้นเรือ  รับประทานอาหารทะเลกันบนเรือ อย่างอร่อยและสนุกสนาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งปูทะเลที่มีไข่ล้นหลาม  อร่อยมากจริง ๆ  แม้แต่คุณหมิ (เบญจมาศ)  ที่ขยาดกลัวคลอเรสเตอรอลจนขึ้นสมอง  ยังแกล้งทำเป็นลืม  รีบคว้าปูทะเลก่อนใคร ๆ



การได้ชมธรรมชาติที่สวยงามของเวียตนามทำให้อดคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของลุงโฮที่กล่าวไว้กับคนเวียตนามหลังจากกู้เอกราชได้สำเร็จ  ลุงโฮพูดว่า


"สมัยก่อน  เรามีแต่กลางคืน และ ป่า  ทุกวันนี้เรามีทั้งท้องฟ้าและทะเล  ชายฝั่งของเรายาวและสวยงาม  เราจะต้องรักษาไว้ให้ดี" 


ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  ลุงโฮมีเจตนาที่จะให้คนเวียตนามได้รำลึกถึงอดีตที่ยากแค้นอยู่ทุกลมหายใจ  อยากให้คนเวียตนามช่วยกันระมัดระวังและช่วยกันรักษาความสวยงามเหล่านี้ให้อยู่คู่กับเวียตนามตลอดไป.....ลุงโฮอยากจะให้คนเวียตนามไม่ลืมว่า...กว่าจะได้มันมาคนกี่แสนกี่ล้านชีวิตที่ได้หลั่งเลือดลงดินเพื่อปกป้องผืนดินแห่งนี้.......


เราขอขอบคุณแผ่นดินเวียตนามที่ให้โอกาสให้คณะเราได้ไปเยือนและสัมผัสความสวยงามที่มหัศจรรย์รวมถึงถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่มีค่าควรแก่การจดจำยิ่งนัก..............