ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปที่วัดนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วัดเจ็ดยอดตั้งอยู่ชานเมืองเชียงใหม่ มีประวัติที่น่าสนใจหลายอย่าง สิ่งแรกที่พบเห็นคือรูปทรงของเจดีย์ที่ดูแปลกตา มิได้มีลักษณะเหมือนวัดทั่วไป แต่มีลักษณะแปลกตาเด่นกว่าที่อื่นๆตรงที่มีลักษณะเป็นยอดแหลมจำนวนเจ็ดยอด รูปทรงคล้ายเจดีย์พุทธยา ประเทศอินเดีย จึงเป็นที่มาของชื่อวัดนี้ที่ชาวบ้านใช้เรียกขานกัน
พระเจดีย์แห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๙๘ โดยพระเจ้าติโลกราช แห่งราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนาผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยจำลองรูปแบบเจดีย์ให้คล้ายกับเจดีย์พุทธคยา และจำลองสัตตมหาสถานในพุทธภูมิไว้ เป็นแห่งเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการจำลองพุทธภูมิ และในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้ ได้ใช้วัดนี้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ เมื่อ พ.ศ.๒๐๒๐ หลังจากที่มีการสังคายนามาแล้ว ๗ ครั้งที่ประเทศอินเดียและศรีลังกา
ความแปลกตาและโดดเด่นของเจดีย์วัดเจ็ดยอด สะท้อนให้เห็นได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเชียงใหม่ในอดีตที่ผ่านมา เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร์ล้านนา เป็นอิสระในสมัยที่ราชวงศ์มังรายปกครอง และตกเป็นของพม่าในสมัยพระเจ้าบุเรงนองเมื่อปี พศ.๒๑๐๑ เป็นระยะเวลาถึง ๒๐๐ กว่าปี จนกระทั่ง พศ.๒๓๑๗ พระยาจ่าบ้านและพระยากาวิละ ได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแล้วร่วมกับกองทัพไทยขับไล่พม่าออกไป นับตั้งแต่นั้นมา เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทย ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่จึงมีการแบ่งไว้เป็น ๓ ระยะ
- ระยะแรกช่วงสมัยราชวงศ์มังรายปกครองแผ่นดิน นับตั้งแต่พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ก่อนปี พศ.๑๘๐๑ และประทับอยู่ที่เมืองนี้ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ สิ้นสมัยของพญามังรายราว พศ.๑๘๕๔ หลังจากนั้นมีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องมาอีก ๑๗ พระองค์จนถึงราว พศ.๒๑๐๐ โดยพระเจ้าติโลกราชเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๙ แห่งราชวงศ์มังราย มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ช่วงนี้พุทธศาสนาจึงมีความเจริญสูงสุด แต่ในช่วงปลายของราชวงศ์มังราย พระเจ้าเมกุฏิปกครองเชียงใหม่ บ้านเมืองระส่ำระสายเพราะขุนนางแก่งแย่งอำนาจกัน ประชาชนเดือดร้อนโดยกษัตริย์ไม่สามารถปกครองขุนนางได้ เมืองเชียงใหม่จึงเข้าสู่ยุคแห่งความอ่อนแอ จนในที่สุดพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าก็กรีฑาทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ได้อย่างง่ายดาย นับเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์มังรายแต่นั้นมา
- ระยะที่สองเป็นช่วงสมัยที่พม่าปกครอง ราว พศ.๒๑๐๑ - ๒๓๑๖ โดยผู้ครองนครเชียงใหม่ จะต้องเดินทางไปแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์พม่าทุกปี
- ระยะที่สามเป็นช่วงที่เป็นประเทศราช ราว พศ.๒๓๑๔ ที่พระยาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละได้ขอความช่วยเหลือไปยังกรุงศรีอยุธยา ในครั้งนั้นพระเจ้าตากสินมหาราชเพิ่งกู้ชาติ ได้นำกองทัพขึ้นมาช่วยเหลือสมทบกับเจ้าพระยากาวิละ เข้าตีเมืองเชียงใหม่ขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จเมื่อ พศ.๒๓๑๗ เมืองเชียงใหม่จึงพ้นจากอำนาจของพม่าโดยสิ้นเชิงนับแต่นั้นมา
นอกเหนือจากเจดีย์วัดเจ็ดยอด การมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมจึงเสมือนดั่งการเดินทางย้อนอดีตเข้าไปยังพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะมีการจำลองสัตตมหาสถานไว้ คำว่า สัตตมหาสถาน ก็คือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ ๗ แห่ง เมื่อครั้งตรัสรู้ มีดังนี้.-
- โพธิบัลบังค์ - สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ และทรงตั้งวิริยาธิษฐานปฏิภาณพระองค์ว่า "ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ จะไม่ยอมลุกจากที่ประทับนั้น แม้มังสะและโลหิตจะเหือดแห้งสูญสิ้นไป เหลือแต่หนังและกระดูกก็ตามที" เมื่อพระองค์ตรัสรู้ได้ ๗ วันจึงเสด็จจากวัชรอาสน์
- อนิมิสเจดีย์ - สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วทอดพระเนตรโพธิบัลลังค์ ๗ วันโดยไม่กระพริบพระเนตร
- รัตนจงกลมเจดีย์-สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเดินจงกลมพิจารณาหมู่สัตว์โลกอยู่ ๗ วัน
- รัตนฆรเจดีย์-สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาธรรมต่างๆ อยู่ ๗ วัน
- อชปาลนิโครธเจดีย์-สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับพิจารณาธรรม และทรงมีพุทธฏีกาต่อนางมารว่า พระองค์ทรงละกิเลสหมดสิ้นแล้ว
- มุจลินทร์เจดีย์-สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับพิจารณาธรรม อยู่ใกล้สระน้ำ มีพญานาค ๙ เศียรแผ่พังพานคอยป้องฝนให้
- ราชายตนะเจดีย์-สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับพิจารณาธรรมอยู่ใต้ต้นเกด มีพระอินทร์มาถวายผลสมอทิพย์และมีพ่อค้า ๒ คนมาเห็นแล้วเลื่อมใสจึงถวายข้าวสะตู และพระองค์รับเป็นอุบาสกคู่แรก พระพุทธเจ้าทรงแบพระหัตถ์รับและตัดสินพระทัยใต้ต้นเกดที่จะโปรดเวไนยสัตว์ หลังจากพระองค์ทรงพิจารณาธรรมแล้วจึงทรงแสดงธรรมต่อท้าวมหาพรหม และทรงแสดงพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรในวันอาสาฬหปรุณ วันเพ็ญเดือน ๘ อันเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบสามองค์
สัตตมหาสถานในพระพุทธศาสนานอกจากจะมีต้นแบบที่พุทธคยา อินเดียแล้ว ในโลกนี้มีสัตตมหาสถานที่สร้างขึ้นหลังพระพุทธกาลเพียง ๓ แห่งคือ ที่เมืองพุกาม ประเทศพม่า , ที่วัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่แห่งนี้ และที่พระธาตุบังพวน จ.หนองคาย จึงนับเป็นโชคดีของชาวเชียงใหม่ที่มีสถานที่สำคัญไว้เพื่อรำลึกถึงพุทธประวัติ.......
ขอขอบคุณข้อมูลจากวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ และ หนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดเชียงใหม่
ขอขอบคุณข้อมูลจากวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ และ หนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดเชียงใหม่