เป้าหมายการท่องเที่ยวของคณะเราซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณจากหน้าที่การงานแล้ว คือการไปชมความสวยงามของฮาลองเบย์ มรดกโลกทางธรรมชาติที่อยู่ทางด้านเหนือของเวียตนาม การเดินทางของเราจึงบินไปลงที่สนามบินนอยไบเมืองฮานอย เมืองหลวงที่เก่าแก่ของเวียตนามที่มีอายุครบ 1000 ปี เมื่อ ค.ศ.2010 ที่ผ่านมา
เมืองฮานอยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแดง แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนเวียตนามมายาวนาน สภาพโดยทั่วไปของเมืองฮานอย ค่อนข้างแออัด ด้วยความที่เป็นเมืองธุรกิจ ที่ดินจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว ทุกตารางนิ้วถูกใช้อย่างจำกัด แต่ละบ้านจะปลูกบนเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวา ต้องใช้ประโยชน์ในด้านความสูงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ละหลังจะดูเหมือนเป็นแท่ง ๆ อยู่โดยทั่ว
เมืองฮานอยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแดง แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนเวียตนามมายาวนาน สภาพโดยทั่วไปของเมืองฮานอย ค่อนข้างแออัด ด้วยความที่เป็นเมืองธุรกิจ ที่ดินจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว ทุกตารางนิ้วถูกใช้อย่างจำกัด แต่ละบ้านจะปลูกบนเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวา ต้องใช้ประโยชน์ในด้านความสูงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ละหลังจะดูเหมือนเป็นแท่ง ๆ อยู่โดยทั่ว
ย่านชุมชนหลักของฮานอย คือบริเวณถนน 36 สายซึ่งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย เป็นย่านการค้าที่คึกคักที่สุดของเวียตนาม มีสินค้าจำหน่ายทุกประเภท ถนน 36 สายที่ว่านี้ แต่ละสายจะเป็นสายสั้น ๆ และขายของเป็นประเภท ๆ ไป ถนนสายไหนขายเสื้อผ้าก็จะขายกันตลอดสาย สายไหนขายเครื่องกีฬา ก็จะขายกันทุกร้าน สายไหนขายของกินก็จะขายเหมือน ๆ กันทั้งถนน ฉะนั้นของทุกชนิด ทุกประเภท จะหาซื้อได้ที่บริเวณถนน 36 สายแห่งนี้ เรียกว่าเดินกันจนเมื่อยก็ยังไม่ทั่ว คณะของเราไม่มีผู้ใดคิดอาจหาญที่จะเดินแม้แต่คนเดียว จึงตกลงว่าจ้างรถตุ๊ก ๆ ให้พาวิ่งชมจนทั่ว
ในเมืองฮานอย ยังคงพบเห็นสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศสที่หลงเหลืออยู่หลายแห่งและได้รับการอนุรักษ์ไว้จนปัจจุบัน อาคารเหล่านี้จะมีลวดลายที่สวยงาม และมีสีเหลืองโดดเด่น ตามสไตล์ความนิยมของคนฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมของเวียตนามในอดีต มีต้นไม้รายล้อมสองข้างทางที่ดูแล้วให้ความร่มรื่นใจเป็นอย่างมาก
ในเมืองฮานอย ยังคงพบเห็นสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศสที่หลงเหลืออยู่หลายแห่งและได้รับการอนุรักษ์ไว้จนปัจจุบัน อาคารเหล่านี้จะมีลวดลายที่สวยงาม และมีสีเหลืองโดดเด่น ตามสไตล์ความนิยมของคนฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมของเวียตนามในอดีต มีต้นไม้รายล้อมสองข้างทางที่ดูแล้วให้ความร่มรื่นใจเป็นอย่างมาก
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮานอย มีอยู่หลายแห่ง ส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นวัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นด้วยความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนเวียตนาม... ..วัดเฉินก๊วก คือจุดแรกของการเที่ยวชม วัดนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียตนาม ตั้งอยู่กลางทะเลสาบด้านตะวันตกของเมืองฮานอย จุดเด่นของวัดนี้คือเจดีย์ทรง 6 เหลี่ยม สูง 11 ชั้น ที่เป็นเสมือนที่สถิตย์ของเทพเจ้าต่าง ๆ ที่คอยปกป้องคุ้มครองคนเวียตนาม ในแต่ละวันจึงมีผู้คนเข้ามาสักการะมากมาย เพราะมีน้ำล้อมรอบ อากาศบริเวณวัดจึงเย็นสบาย ๆ มีสายลมเย็นๆ โชยจากผิวน้ำพัดมาสัมผัสกายตลอด ทำให้จิตใจชุ่มชื่นได้อย่างประหลาดทีเดียว ขนาดนักท่องเที่ยวเช่นพวกเรา ยังติดใจกันทุกคน
วัดวิหารวรรณกรรม เป็นอีกแห่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของฮานอย เป็นวัดโบราณที่เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียตนาม ที่กษัตริย์พระองค์หนึ่งได้โปรดให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีนผู้ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง ในอดีตเคยเป็นโรงเรียนสำหรับขุนนางและใช้เป็นที่สอบจอหงวน ภายในวัดจะมีป้ายหินที่ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านเป็นจอหงวนปรากฏอยู่ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักศึกษาเวียตนามที่นิยมมาถ่ายรูปรับปริญญากัน ช่วงที่คณะเราไปเที่ยวก็เป็นช่วงดังกล่าวพอดี ผู้คนจึงคึกคักมาก
ใกล้ ๆ กับถนน 36 สาย จะมีทะเลสาบแห่งหนึ่งเรียกกันว่า ทะเลสาบคืนดาบ ไกด์ทัวร์เล่าให้ฟังถึงตำนานที่บอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า ในอดีตช่วงที่เวียตนามทำสงครามรบพุ่งกับจีน ไม่เคยที่เวียตนามจะมีชัยชนะเหนือจีนเลยสักครั้งเดียว จนกษัตริย์ผู้ปกครองนครเกิดความท้อแท้พระทัย วันหนึ่งได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ เกิดปาฏิหารย์พบเต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งคาบดาบมาให้พระองค์ หลังจากรับดาบมาแล้วพระองค์เกิดพลังใจในการต่อสู้ จนกระทั่งสงครามครั้งสุดท้าย เวียตนามสามารถมีชัยชนะเหนือจีนได้ หลังจากเลิกรบพุ่งกับจีน มีเวลาทำนุบำรุงให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข พระองค์ก็ได้นำดาบนี้มาคืน ณ.ทะเลสาบแห่งนี้ จึงได้เรียกขานกันว่า"ทะเลสาบคืนดาบ" นั่นคือประวัติศาสตร์ที่เล่ากันสืบต่อมา ที่กลางทะเลสาบแห่งนี้มีวัดอยู่แห่งหนึ่งชื่อวัดหงอกเซิน มีเต่าขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งได้รับการสต๊าฟไว้ คนเวียตนามเชื่อกันว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 ตัว ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาช้านาน
วัดเจดีย์เสาเดียวเป็นอีกแห่งหนึ่งที่คนเวียตนามเคารพสักการะมาก วัดนี้ตั้งอยู่กลางสระบัว สภาพคล้ายศาลาที่ตั้งอยู่บนเสาเดียวขนาดใหญ่ ตามประวัติเล่ากันว่ามีกษัตริย์พระองค์หนึ่งที่อยากมีพระโอรสแต่ก็ไม่เคยสมพระทัย จนคืนหนึ่งได้สุบินเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมมาปรากฏที่สระบัวและประทานโอรสให้ จากนั้นไม่นานพระองค์ก็มีพระโอรส จึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่เจ้าแม่กวนอิม ผู้ประทานพรให้แก่พระองค์ วัดนี้จึงถือเป็นจุดขายแห่งหนึ่งที่ไกด์เวียตนามมักจะแนะนำให้ขอพร แล้วจะได้สมดังใจ คนเวียตนามและคนเอเซียโดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ วัดจึงเป็นที่พึ่งทางใจของคนทุกชนชั้นเสมอมา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงมักปฏิบัติตามคำแนะนำของไกด์กันทุกคน
วัดเจดีย์เสาเดียว |
การไปท่องเที่ยวประเทศเวียตนาม ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง หรือภาคใต้ สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการเข้าชมเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลุงโฮ หรือประธานาธิบดีโฮจิมินห์ มหาวีรบุรุษและนักปฏิวัติแห่งเวียตนามผู้ทำการปลดแอกเวียตนามจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และทำการรวมเวียตนามเป็นหนึ่งเดียวในเวลาต่อมา ลุงโฮที่คนเวียตนามศรัทธานับถือและยึดเป็นคนต้นแบบ เมื่อได้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ของลุงโฮแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคนเวียตนามจึงรักและศรัทธา มหาวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อย่างมากมาย
ลุงโฮ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2433 ในจังหวัดเหงะอาน เขตภาคกลางตอนเหนือของเวียตนาม ช่วงที่เวียตนามยังเป็นประเทศยากจนและยังเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส บิดาของลุงโฮ เป็นชาวนาที่มีการศึกษาและมีความคิดก้าวหน้า พี่น้องทุกคนของลุงโฮจึงได้รับแนวคิดจากบิดามาทั้งหมด มารดาของลุงโฮเสียชีวิตตั้งแต่ลุงโฮมีอายุเพียง 10 ขวบหลังจากมารดาเสียชีวิต บิดาก็พาครอบครัวมาทำมาหากินที่เมืองเว้ เขาจึงไปเรียนหนังสือที่เมืองเว้ แต่ก็ถูกให้ออกกลางคันด้วยเหตุผลว่าเป็นพวกหัวรุนแรงต่อต้านฝรั่งเศส เขาเคยถูกจับฐานขโมยอาวุธจากฝรั่งเศสให้พวกกู้ชาติ พี่น้องของเขาซึ่งร่วมขบวนการกู้ชาติก็ถูกจับกุมอยู่หลายปี การถูกให้ออกจากโรงเรียนทำให้ชีวิตเขาพลิกผัน ต้องหางานทำเพื่อยังชีพ เขาเดินทางจากเว้ ไปดานัง ไซ่่ง่อน และได้งานทำบนเรือเดินสมุทรของฝรั่งเศส ในหน้าที่ลูกมือคนทำครัว ช่วงเวลา 2-3 ปี ที่เขาทำงานบนเรือเดินสมุทรทำให้มีโอกาสไปหลายประเทศ สามารถพูดได้หลายภาษา และพบเห็นประสพการณ์มากมาย ที่สำคัญได้พบเห็นความเหลื่อมล้ำจากการดูถูกเหยียดหยามสีผิวของชาวฝรั่งเศสที่มีต่อคนผิวดำซึ่งมีสภาพชีวิตที่หดหู่ไม่ต่างจากคนเวียตนาม สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมจิตใจให้เขาคิดต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม
ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง มีการจัดประชุมผู้นำประเทศผู้ชนะสงครามที่เมืองแวร์ซายด์ โฮจิมินห์ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอให้เวียตนามมีสิทธิปกครองตัวเอง แต่ปรากฏว่าไร้ผล ทำให้เขาตัดสินใจรวมตัวกันกับพรรคพวกที่มีอุดมการณ์จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ที่ฝรั่งเศสเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ และต้องเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง เนื่องจากถูกตำรวจฝรั่งเศสจับตามอง จนพรรคมิวนิสต์ต้องส่งเขาไปอยู่ที่มอสโคว์ รัสเซีย อยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อรวบรวมชาวเวียตนามที่หลบหนีอยู่ในจีนให้ร่วมมือกันต่อต้านฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2471 ลุงโฮได้เดินทางเข้ามาในไทย เพื่อเผยแพร่แนวคิดปฏิวัติกู้เอกราชเวียตนาม มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับ ๆ ในกรุงเทพ พิจิตร อุุดร หนองคาย และบ้านนาจอก นครพนม ซึ่งเปรียบเสมือนที่พักพิงและแหล่งบัญชาการในการกูู้เอกราช โดยได้ก่อตั้งขบวนการเวียตมินห์เพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส จนกระทั่งมีชัยชนะเหนือฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ฝรั่งเศสยอมเจรจาสงบศึกที่เจนีวา ลงนามโดยประเทศมหาอำนาจทั้งหมด ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ยอมลงนามโดยหวังจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือเวียตนามแทนฝรั่งเศส และทำให้เวียตนามต้องทำสงครามต่อสูู้กับอเมริกาอีกในเวลาต่อมา
ชีวิตของลุงโฮ ติดดินและเรียบง่าย บ้านของลุงโฮ เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ในบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีอันกว้างใหญ่ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรู ๆ เฉกเช่นที่ผู้นำประเทศปฏิบัติกัน จะมีเพียงตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ เตียงนอนเก่า ๆ ที่ปูไว้ด้วยเสื่อกก โต๊ะทำงานเล็ก ๆ เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ผู้นำประเทศที่เป็นเช่นนี้จะมีเพียงสักกี่คนในโลกใบนี้
ข้าพเจ้าเคยถามไกด์เวียตนามว่า พวกเขารักลุงโฮขนาดไหน คำตอบของเขาทำให้ข้าพเจ้าอึ้งไปทีเดียว เธอตอบว่า " เขารักและเทิดทูนลุงโฮ เหมือนกับที่คนไทยรักและเทิดทููนในหลวง" คำตอบเพียงเท่านี้ก็ทำให้สามารถเข้าใจได้เลยว่าลุงโฮ ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนเวียตนามเพียงใด พวกเขารักลุงโฮมากจริง ๆ
พิพิธภัณธ์โฮจิมินห์ได้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวิถึชีวิตของคนเวียตนามในอดีต และสะท้อนเรื่องราวของการต่อสู้ ที่ยืดเยื้อยาวนาน กว่าจะมาเป็นเวียตนามในปัจจุุบัน เป็นประวัติศาสตร์ที่คนเวียตนามต้องจดจำ ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้มค่าอย่างมากกับการเดินทางไปท่องเที่ยวเวียตนามในครั้งนี้
ในที่สุดเราก็มาถึงเป้าหมายของการท่องเที่ยว นั่นคืออ่าวฮาลองที่ใคร ๆ หลงใหลกันนักหนา ความสวยงามของอ่าวฮาลอง เชื่อว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าที่นี่สวยงามมากจริง ๆ
คณะของเราไปถึงอ่าวฮาลองช่วงเย็น พักค้างคืนที่โรงแรมริมอ่าวฮาลอง เพื่อที่จะได้นั่งเรือล่องอ่าวได้แต่เช้า ทัวร์ทุกกรุ๊ปก็คงทำแบบเดียวกัน จึงทำให้กลางคืนที่นี่คึกคักมาก จะมีตลาดขายของกลางคืนเรียกกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่า Night market ทุกคนที่มาต่างก็ออก shopping กันที่ night market กันทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าพื้นเมืองของเวียตนามและสินค้าลอกเลียนที่ผลิตในเวียตนามเช่น กระเป๋า Kipling , รองเท้า Onitsuka tiger คณะของพวกเราไม่มีใครน้อยหน้ากัน ทุกคนได้ของติดไม้ติดมือกันมาถัวนหน้า คุณจิ๋ว (ปนัดดา บุญกาญจนพาณิชย์) และคุณหมี (พัชนี อินทรลักษณ์) เธอได้กระเป๋า Kipling รูปแบบต่างมาหลายใบ ส่วนข้าพเจ้า , คุณบี๋ (โสภิต เลิศชนะพรชัย) , คุณหมิ (เบญจมาศ โรจน์วนิช) ได้รองเท้ามาคนละคู่ ยกเว้นคุณหนู (พนิดา ฟังธรรม) เธอบ้าซื้อทุกอย่าง จึงได้ทั้งรองเท้าและกระเป๋า เต็มไปหมด คณะของพวกเราได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่เวียตนามได้ไม่น้อยเลยทีเดียว คืนนั้นพวกเราเดินกลับโรงแรมด้วยความเมื่อยล้าจากการ shopping ที่ night market
การท่องเที่ยวทุกครั้ง เราจะเคยชินกับรหัสที่จะต้องปฏิบัติคือ 6-7-8 นั่นคือตื่น 6 โมง ทานเข้า 7 โมง เดินทาง 8 โมง ครั้งนี้ก็เช่นกันหลังจากทานเข้าเสร็จ ก็ออกจากโรงแรมตรงไปท่าเรือฮาลองเพื่อขึ้นเรือล่องอ่าว เรือที่นี่มีมากมายน่าจะนับพันลำ นั่นแสดงว่านักท่องเที่ยวต้องหลายหมื่น คึกคักหนาแน่นมากทีเดียวจนไกด์เกรงพวกเราจะหลง ต้องขอร้องให้ใส่หมวกที่แจกให้ตั้งแต่วันแรกเพื่อจะได้เห็นกันง่าย ๆ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ชอบเอามาก ๆ ก็คือการที่ไกด์ชอบเดินถือธงนำหน้า และให้พวกเราเดินตาม ทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นลูกเป็ดหลงทาง ยังไงก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นเราก็ยอมเดินตามโดยง่ายดาย แถมบางแห่งต้องวิ่งด้วยซ้ำ ไกด์ทุกบริษัททำไมถึงเดินเร็วกันนัก
อ่าวฮาลองกว้างใหญ่ไพศาลมาก กินเนื้อที่มากถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร มีเกาะหินปูนน้อยใหญ่มากมายกว่า 1,900 เกาะ จึงทำให้ดูสวยงามแปลกตา จนได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี 2554 เมื่อล่องเรือไปเรื่อย ๆ ก็จะพบเห็นเกาะหินปูนที่มีรูปร่างต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของแต่ละคน ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามมาก
เราล่องเรือจนไปถึงถ้ำแห่งชื่อเรียกชื่อกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ภายในถ้ำจะพบเห็นหินงอกหินย้อยที่สะสมตัวมานานนับพันปี สวยงามมาก
พวกเราเที่ยวชมจนได้เวลาอาหารเที่ยง ทุกคนก็รวมตัวกันขึ้นเรือ รับประทานอาหารทะเลกันบนเรือ อย่างอร่อยและสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปูทะเลที่มีไข่ล้นหลาม อร่อยมากจริง ๆ แม้แต่คุณหมิ (เบญจมาศ) ที่ขยาดกลัวคลอเรสเตอรอลจนขึ้นสมอง ยังแกล้งทำเป็นลืม รีบคว้าปูทะเลก่อนใคร ๆ
การได้ชมธรรมชาติที่สวยงามของเวียตนามทำให้อดคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของลุงโฮที่กล่าวไว้กับคนเวียตนามหลังจากกู้เอกราชได้สำเร็จ ลุงโฮพูดว่า
"สมัยก่อน เรามีแต่กลางคืน และ ป่า ทุกวันนี้เรามีทั้งท้องฟ้าและทะเล ชายฝั่งของเรายาวและสวยงาม เราจะต้องรักษาไว้ให้ดี"
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ลุงโฮมีเจตนาที่จะให้คนเวียตนามได้รำลึกถึงอดีตที่ยากแค้นอยู่ทุกลมหายใจ อยากให้คนเวียตนามช่วยกันระมัดระวังและช่วยกันรักษาความสวยงามเหล่านี้ให้อยู่คู่กับเวียตนามตลอดไป.....ลุงโฮอยากจะให้คนเวียตนามไม่ลืมว่า...กว่าจะได้มันมาคนกี่แสนกี่ล้านชีวิตที่ได้หลั่งเลือดลงดินเพื่อปกป้องผืนดินแห่งนี้.......
เราขอขอบคุณแผ่นดินเวียตนามที่ให้โอกาสให้คณะเราได้ไปเยือนและสัมผัสความสวยงามที่มหัศจรรย์รวมถึงถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่มีค่าควรแก่การจดจำยิ่งนัก..............