อ่างขางในอดีต (ปี ค.ศ.1977) |
นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และเสด็จผ่านเหนือดอยอ่างขาง ทอดพระเนตรเห็นพื้นที่เขาหัวโล้นเป็นบริเวณกว้างขวาง พบว่าชาวเขาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ปลูกฝิ่นกันเป็นส่วนใหญ่ จึงมีพระราชดำริที่จะให้การช่วยเหลือชาวเขาเหล่านั้นให้ทำการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนฝิ่น ส่งเสริมให้มีรายได้มากกว่าการปลูกฝิ่น อันเป็นการช่วยประเทศชาติอีกทางหนึ่งให้รอดพ้นภัยจากยาเสพติด
การนับหนึ่งจึงได้เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลากรจำนวนหนึ่งให้ขึ้นไปทำการบุกเบิกพื้นที่บนดอยอ่างขาง ลงมือทำเพื่อให้ชาวเขาเห็นจริง และเอาเป็นแบบอย่างได้ การทำงานในช่วงแรก จึงถือได้ว่าเป็นงานที่หนักยิ่งกว่าหินหลายเท่า เพราะไม่เพียงเฉพาะงานบุกเบิกเท่านั้น แต่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับชาวเขามิให้หวาดระแวง และต้องศึกษาสภาพภูมิประเทศอันเป็นหลักสำคัญที่จะพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนต่อไป นั่นคืองานของโครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา
ประเทศไต้หวัน มิตรประเทศของไทย ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโครงการนี้มาตั้งแต่เริ่มแรกและครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินสนับสนุน ส่งบุคคลากรมาช่วยฝึกฝน รวมทั้งให้ทุนแก่เจ้าหน้าที่ไทยไปฝึกงานที่ประเทศไต้หวัน สวนไต้หวันบนดอยอ่างขาง จึงเปรียบเสมือนสัญญลักษณ์แห่งความร่วมมือและมิตรภาพที่แนบแน่น ที่ประเทศไต้หวันมีให้แก่โครงการหลวงและประเทศไทย
วุฒิ มณีปุระ เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผิดชอบโครงการไต้หวันในช่วงแรก ๆ หลังจากที่ได้มีโอกาสไปเป็นนิสิตฝึกงาน ที่สถานีวิจัยดอยปุยเมื่อปี พ.ศ.2515 ในช่วงนั้นได้มีโอกาสไปทำการเสียบกิ่งติดตาท้อที่บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์ ทำให้อาจารย์สืบศักดิ์ นวจินดา ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าสถานี ฯ มองเห็นแวว จึงชักชวนให้เข้ามาทำงานที่โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา หลังจากที่จบการศึกษา และถูกส่งตัวให้ขึ้นไปทำงานที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง รับผิดชอบงานในโครงการไต้หวัน
ในชีวิตการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไม่มีช่วงเวลาใดที่จะมีทั้งความสุขและประสพการณ์เท่ากับช่วงเวลาที่ฝึกงาน ในปีนั้นนิสิตเกษตรไปฝึกงานบนดอยปุยรวม 30 คนด้วยกันเห็นจะได้ และเป็นชายล้วน ๆ จึงมีความสุขสนุกสนานกันเต็มที่ตามสถานะของหนุ่มคะนองวัย นิสิตทั้งหมดพักรวมกันที่สวนสองแสน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแม้ว ดอยปุยประมาณ 1 กม. เช้าขึ้นมาก็เข้าแปลงงาน ลงมือฝึกจริงกันทุกอย่าง นับตั้งแต่การส่องกล้องเพื่อทำแนวระดับสำหรับการปลูกไม้ผลในพื้นที่ลาดชัน ขุดหลุมปลูก บำรุงรักษา ตัดแต่งกิ่ง เสียบกิ่ง ติดตา ฯลฯ ไม้ผลโดยส่วนใหญ่จะเป็นลิ้นจี่ ท้อ ส่วนไม้ดอกจะเป็นพวก Gladiolus , Edible Day Lily ฝึกกันอยู่นานถึง 30 วัน ก่อนจบการฝึกงาน นิสิตฝึกงานจำนวน 3 คน ได้รับการคัดเลือกให้ไปเสียบกิ่ง ติดตาท้อที่บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์ วุฒิ มณีปุระเป็นหนึ่งในนั้นด้วย การเดินทางไปบ้านขุนกลางขณะนั้น ยังมีความลำบากมากเพราะยังไม่มีถนนหนทาง ท่าน มจ.ภีศเดช รัชนี , อ.สืบศักดิ์ นวจินดา จึงนำคณะนิสิตจำนวน 3 คนนี้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงที่บ้านขุนกลาง ให้พักค้าง 1 คืนเพื่อทำงานให้เสร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็ให้เดินลงจากเขาเอง ต้องเดินเท้าลงมาจนถึงน้ำตกแม่กลาง จึงมีรถมารอรับกลับไปสวนสองแสน นับเป็นการฝึกงานที่มีทั้งความลำบากและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้มีโอกาสไปทำงานในโครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา โดยท่าน ศ.ปวิณ ปุณศรี ผอ.โครงการเกษตรที่สูงในขณะนั้นเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกและส่งไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำโครงการไต้หวัน ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
บริเวณทิศเหนือของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จะเป็นแปลงทดลองไม้ผล ที่ได้รับการช่วยเหลือจากประเทศไต้หวันตามโครงการนี้ เจ้าหน้าที่บนดอยอ่างขางมักจะเรียกกันติดปากว่า "แปลงไต้หวัน" ไม้ผลในแปลงนี้ จะมีหลากหลายเช่น แอปเปิล ท้อ สาลี่ บ๊วย ทั้งหมดล้วนเป็นพันธ์ดีของประเทศไต้หวันทั้งสิ้น ซึ่งหากสามารถนำมาปลูกทดแทนพันธ์พื้นเมืองที่ชาวเขาปลูกกัน ก็จะเป็นหนทางสร้างรายได้มหาศาลในระยะยาวได้ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จะเป็นทางเลือกแก่ชาวเขาในการปลูกทดแทนฝิ่น
โครงการไต้หวันได้เริ่มเข้ามาช่วยเหลือตั้งแต่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังไม่มีถนนหนทาง เจ้าหน้าที่ ๆ ทำงานบนดอยในช่วงนั้น ต้องใช้เท้าเป็นพาหนะในการสัญจร ความช่วยเหลือจากไต้หวันจึงถือได้ว่าเป็นมิตรแท้ที่กอดคอกันบุกเบิกมาตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อการทดลองในแปลงไต้หวันบนดอยอ่างขางได้ผลดี ก็จัดให้มีการอบรมถ่ายทอดส่งเสริมองค์ความรู้แก่กลุ่มงานส่งเสริมตามดอยต่าง ๆ เพื่อให้นำไปขยายความรู้ตามดอยอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความสำเร็จในวงกว้างต่อไป
นอกเหนือจากการช่วยเหลือดังกล่าว เมื่อต้นปี 2518 ไต้หวันยังได้ให้ทุนเจ้าหน้าที่ไปฝึกงานที่ประเทศไต้หวัน ในครั้งนั้นมีโอกาสไปด้วยกัน 3 คนคือ วุฒิ มณีปุระ , วรพงษ์ เครือเขื่อนเพชร และถาวรรัตน์ ยอดศรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานีวิจัยดอยปุย เป้าหมายฝึกงานคือที่ Fu Shou Shan Farm ที่ Lishan ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงกับดอยอ่างขางที่เป็นภูเขาสูงบ้างต่ำบ้างสลับกันไป และหนาวเย็นตลอดปี แร่ธาตุในดินและอากาศที่ชุ่มชื้น ส่งผลดีต่อผลผลิตไม้ผลเมืองหนาวเกือบทุกประเภท ประสพการณ์ที่ Fu Shou Shan Farm นำมาใช้ได้กับที่ดอยอ่างขางเป็นอย่างดี แต่ก่อนจะถึง Fu Shou Shan Farm เราได้มีโอกาสไปดูฟาร์มไม้ดอกที่ Tai Chung ซึ่งเป็นฟาร์มที่ประเทศไต้หวันจัดให้พวกทหารผ่านศึกมาดำเนินการ เป็นวิธีการดูแลทหารผ่านศึกให้มีงานและรายได้อย่างยั่งยืน ที่น่าจะเอาเป็นแบบอย่าง
เข้าคารวะเจ้าหน้าที่องค์การทหารผ่านศึก VACRS ของไต้หวัน (ปี ค.ศ.1975) |
เจ้าหน้าที่ VACRS พาดูงานไม้ดอก (ปี ค.ศ. 1975) |
ที่สำนักงาน Fu Shou Shan Farm (ปี ค.ศ.1975) |
เข้าพักที่บ้านรับรองของ Fu Shou Shan Farm ( ปี ค.ศ. 1975 ) |
เจ้าหน้าที่ของ Fu Shou Shan Farm เตรียมสาธิตการ Pruning แอปเปิล ( ปี ค.ศ. 1975) |
ฝีกการเสียบกิ่งท้อ (ปี ค.ศ. 1975) |
อากาศที่ Fu Shou Shan Farm ในช่วงนั้นหนาวเย็นมาก ในช่วงเช้าจะมีน้ำค้างแข็ง บนยอดเขาสูงยังมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่วไป บรรดาไม้ผลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท้อ แอปเปิล สาลี่ อยู่ระหว่างการพักตัว จึงมีโอกาสฝึกการ pruning และการเสียบกิ่ง ฝึกกันได้ระยะหนึ่งก็เดินทางไปฝึกต่อที่ Wu Ring Farm ซึ่งมีไม้ผลลักษณะเดียวกันและฝึกในลักษณะเดียวกันจนครบวงจร ประมาณเดือน เมษายน ไม้ผลต่าง ๆ ก็เริ่มผลิตาดอก ติดผล บางต้นติดผลหนาแน่นจำเป็นต้องปลิดผลทิ้งบางส่วนเพื่อไม่ให้แย่งอาหารกันและป้องกันโรคไปด้วยอีกทางหนึ่ง เมื่อผลที่เหลือเจริญเติบโตเต็มที่จนแก่ได้ขนาด ประมาณเดือน สิงหาคม - กันยายน ก็เริ่มทะยอยเก็บเกี่ยวผลได้ เริ่มจากพันธ์เบาไปหาพันธ์หนัก และประมาณเดือนตุลาคม ไม้ผลเหล่านี้ก็จะเริ่มทะยอยทิ้งใบ จนถึงฤดูหนาวก็จะเริ่มฟื้นตัวต่อไปตามวงจรของมัน เมื่อครบวงจรก็ถือว่าการดูงานฝึกงานสิ้นสุดลงจึงเดินทางกลับเมืองไทย
บนยอดเขาสูงกลางเกาะ มีหิมะปกคลุมทั่วไป ( ปี ค.ศ. 1975) |
เดินทางไป Wu Ring Farm เพื่อดูงานและฝึก Pruning (ปี ค.ศ. 1975) |
ฝึก Pruning แอปเปิลที่ Wu Ring Farm (ปี ค.ศ. 1975) |
เมื่อกลับมาเมืองไทย ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าสถานี และ หัวหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ในเวลาต่อมาตามลำดับ ประสพการณ์และเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้รับจากการฝึกงานที่ไต้หวันสามารถนำมาใช้จริงที่ดอยอ่างขางได้อย่างเต็มที่ ขอบเขตพื้นที่ทดลองของโครงการไต้หวัน ได้ถูกขยายออกไปอย่างกว้างขวางในพื้นที่ภูเขาเป็นลูก ๆ ปลูกทั้งแอปเปิล ท้อ สาลี่ บ๊วย และพลับ ทุกชนิดเป็นพันธุ์ดีทั้งหมด ไม้ผลเหล่านี้เจริญเติบโตอย่างน่าพอใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไต้หวัน ยังติดตามให้ความช่วยเหลือมาให้คำแนะนำที่ดอยอ่างขางอย่างต่อเนื่อง
เสียบกิ่งท้อพันธ์ดีจากไต้หวัน บนดอยอ่างขาง ( ปี ค.ศ.1976) |
ปาป้า Sung พร้อมคณะชมงานสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง (ปี ค.ศ. 1979) |
ปาป้า Sung , ศาสตราจารย์ ปวิณ ปุณศรี และเจ้าหน้าที่อ่างขาง (ปี ค.ศ. 1979) |
ในทุก ๆ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมงานและความคืบหน้าที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จากงานที่เริ่มบุกเบิก จนถึงผลผลิตที่เกิดความสำเร็จจริงเป็นรูปธรรม สามารถนำมาวางจำหน่าย สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ สามารถทำให้ชาวเขาเลิกการปลูกฝิ่น และหันมาปลูกไม้ผลเหล่านี้แทน
ในหลวงทอดพระเนตรการโน้มกิ่งสาลี่ (ปี ค.ศ. 1979) |
ปาป้า Sung ตามเสด็จในหลวงเพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับโครงการไต้หวัน (ปี ค.ศ.1977) |
ผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวันถวายรายงาน (ปี ค.ศ.1979) |
มจ.ภีศเดช รัชนี ดูการเก็บเกี่ยวและบรรจุท้อรุ่นแรก (ปี ค.ศ. 1979) |
โครงการไต้หวันได้พัฒนาการสนับสนุนการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะงานที่จะสามารถส่งเสริมให้ชาวเขาได้ทำเป็นอาชีพ นั่นคือการเปลี่ยนยอดท้อจากพันธ์พื้นเมืองที่มีมากมายตามดอยต่าง ๆ ให้เป็นพันธ์ดีของไต้หวัน จนปัจจุบันชาวเขาเหล่านั้นสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในแต่ละปีและยึดเป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้ จึงสามารถกล่าวได้ว่าความสำเร็จเหล่านี้ เกิดจากพระราชดำริที่ทรงห่วงใยชาวเขาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความช่วยเหลือเกื้อกูลจากประเทศไต้หวันผู้เป็นกัลยาณมิตรแห่งผู้ปฏิบัติธรรมโดยแท้......................