ลำน้ำเพชร บริเวณหน้าวัดท่าไชยศิริ |
เมื่อได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าหลวง โปรดเสวยน้ำจากเพชรบุรี ซึ่งเรียกว่า "น้ำเพชร" และน้ำนั้นตักจากท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ ข้าพเจ้าก็ใคร่จะเห็นว่าปัจจุบันสภาพของท่าน้ำนั้นเป็นอย่างไร จึงชักชวนกันไปเที่ยวชม วัดท่าไชยศิริ และ ท่าน้ำประวัติศาสตร์แห่งนั้น เมื่อไม่นานมานี้.......
วัดนี้ ตั้งอยู่ที่ ต.สมอพรือ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ติดกับถนนเพชรเกษม สร้างมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๑๙๑๐ เป็นวัดที่กว้างขวางเพราะมีเนื้อที่ถึง ๒๑ ไร่เศษ ตามประวัติที่ปรากฏกล่าวว่าแต่เดิมวัดนี้เรียกว่า "วัดใต้" เพราะอยู่ทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำเพชร เหนือน้ำขึ้นไปจะเป็นวัดกลางและวัดเหนือ ทั้ง ๓ วัดมีอาณาเขตติดต่อกัน แต่ปัจจุบันวัดเหนือและวัดกลางเป็นวัดร้างไปนานแล้ว คงเหลือเพียงวัดใต้แห่งนี้เพียงวัดเดียว
ส่วนที่เป็นท่าน้ำของวัด ดูจะไม่โดดเด่น เพราะแวดล้อมไปด้วยบ้านเรือนผู้คนที่ปลูกอาศัยอยู่ติด ๆ ทำให้บดบังทัศนียภาพไปมากทีเดียว แต่ก็มีศาลาไม้สักทั้งหลังพอให้เห็นเป็นที่สะดุดตา และประวัติของสถานที่ซึ่งวัดพยายามทำให้ผู้คนที่มาเที่ยวชมได้พบเห็น
ศาลาท่าน้ำ |
ป้ายประวัติติดไว้บริเวณท่าน้ำ |
ท่าน้ำวัดท่าไชย |
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็คือ..ที่ท่าน้ำนี้แหละที่เป็นที่ตักน้ำเพื่อนำไปสรง เสวยและ ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตลอดจนพระราชพิธีอื่น ๆ รวมทั้งพิธีกรรมทางศาสนาเสมอๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ อันเป็นปีที่สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา การใช้น้ำที่ลำน้ำเพชรแห่งนี้เป็นน้ำสรงและทรงเสวย มิใช่เพียงแค่รัชกาลที่ ๕ เท่านั้น แต่มีถึง ๓ รัชกาลด้วยกัน คือตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ , ๕ และ ๖
โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ นอกจากจะทรงโปรดน้ำเพชรแล้ว ยังทรงโปรดเมืองเพชรมาก เสด็จมาเมืองเพชรหลายครั้งระหว่างผนวช โดยทรงมาบำเพ็ญสมณธรรม ณ.ถ้ำเขาย้อย บางครั้งมาประทับแรม ณ.วัดมหาสมณาราม เชิงพระนครคีรี และเสด็จมาทอดพระเนตรการสร้างพระนครคีรีหลายครั้ง
พระนครคีรี |
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีหลักฐานปรากฏจากพระราชหัตเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีในปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้ทรงเล่าว่า " เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน เวลาสายแล้ว ได้ลงเรือยนต์เล็ก ๒ ลำ มีของแห้งไป ขึ้นเที่ยวเหนือน้ำ แวะที่ท่าเสน....และแล่นต่อไป จนถึงศาลา....แต่ขาล่องเร็วเหลือเกิน....ทางที่ขึ้นไปนี้เกินท่าไชยซึ่งเป็นที่ตักน้ำเสวยเป็นอันมาก มีข้อหนึ่งที่ลี้ลับอยู่ คือน้ำมุรธาราชาภิเษกนั้น ไม่ใช่ใช้แต่น้ำ ๔ สระ ใช้แม่น้ำทั้ง ๕ แห่งกรุงสยาม คือแม่น้ำบางปะกง , แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ (ป่าสัก) , แม่น้ำท่าจีน , แม่น้ำแม่กลอง และ แม่น้ำเพชรบุรี มีชื่อที่ตักทุกเมือง แต่ที่ีเพชรบุรีนี้ ที่วัดท่าไชย เป็นที่ตักน้ำเสวย"
เรื่องที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเสวยน้ำเพชรนี้ ปรากฏหลักฐานว่าได้ส่งน้ำที่ตักจากท่าน้ำวัดท่าไชยศิริเพื่อเป็นน้ำสรงและน้ำเสวย ถึงเดือนละ ๒ ครั้ง ๆ ละ ๒๐ ตุ่ม
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้กล่าวไว้ในพระราชหัตเลขาที่มีถึงเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ความตอนหนึ่งว่า "....เรื่องน้ำเพชรบุรีนี้เคยทราบมาแต่ว่า ถือกันว่าเป็นน้ำดี เคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ รับคำสั่งว่า นิยมกันว่ามีรสแปลกกว่าลำน้ำเจ้าพระยา และท่านรับสั่งว่าพระองค์เคยเสวยน้ำเพชรเสียจนเคยชินแล้ว เสวยน้ำอื่น ๆ ไม่อร่อย จึงต้องส่งน้ำเสวยมาจากเมืองเพชรบุรี .......
แม่น้ำเพชรบุรีแห่งนี้ มีต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นแนวเขตติดต่อกับชายแดนพม่า ไหลผ่านแก่งกระจาน ผ่านอำเภอท่ายาง อำเภอบ้านลาด อำเภอเมือง และไหลลงสู่ทะเลที่อำเภอบ้านแหลม ในอดีตที่ผ่านมาเคยเป็นน้ำที่มีคุณภาพ ใสสะอาด รสชาติดี แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมา บ้านเรือนผู้คนเพิ่มหนาแน่นขึ้น โดยที่การควบคุมยังไม่เป็นระเบียบ ทำให้ลำน้ำนี้มากไปด้วยสิ่งปฏิกูล จึงมีการงดใช้น้ำที่ลำน้ำนี้ในช่วงปลายของรัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา ความสำคัญของลำน้ำเพชรจึงสิ้นสุดลง
ที่วัดนี้ในประวัติเล่ากันว่า ในยุคกรุงศรีอยุธยาที่ไทย-พม่ายังรบพุ่งกัน มีการปะทะกันบริเวณด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครั้งนั้นทหารไทยเสียเปรียบ จึงแตกทัพถอยร่นลงมาจนถึงบริเวณวัดนี้ พบว่ามีแม่น้ำไหลผ่าน พากันหยุดพักแวะลงอาบน้ำ พอขึ้นจากน้ำ ก็พบกับทหารฝ่ายพม่าที่ไล่ตามติดมา เกิดการต่อสู่้ ตะลุมบอนกันในบริเวณวัดนี้ รวมถึงภายในอุโบสถ จึงมีร่องรอยคราบเลือดติดอยู่ที่ผนังและเพดานอุโบสถ การต่อสู้ในบริเวณวัดนี้ทหารไทยได้ชัยชนะ ตีพม่าจนแตกพ่ายไป จึงเปลี่ยนชื่อวัดใต้เป็นวัดท่าไชย และต่อมาก็เติม "ศิริ" เข้าไปเพื่อความเป็นมงคล และใช้เรียกขานมาจนปัจจุบัน ส่วนทหารไทยเหล่านั้นก็ถือโอกาสลงหลักปักฐานอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดจนปัจุบันกลายเป็นชุมชนใหญ่ เรียกกันว่า "หมู่บ้านสิงขร" เพื่อสื่อให้เห็นว่า คนเหล่านี้มาจากสิงขรนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจากวัดท่าไชยศิริ ต.สมอพรือ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี และหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จ.เพชรบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น