วังจันทร์ในอดีต |
เหตุจากการดูละครอิงประวัติศาสตร์ ทำให้ข้าพเจ้ามีความคิดอยากจะเข้าไปสัมผัสสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ จึงชวนสหายรักตะลุยอโยธยาซึ่งเป็นดินแดนประวัติศาสตร์ในครั้งกระโน้น ชมพระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์ผู้กู้ชาติไทย
นี่คือวังจันทร์ หรือ พระราชวังจันทรเกษม ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2120 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ด้วยมีพระราชประสงค์เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร พระราชโอรส เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลก เมื่อเสด็จมากรุงศรีอยุธยา ตอนแรกสร้างนั้นประชาชนทั่วไปเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่าวังใหม่หรือวังหน้า ตามตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งอยู่หน้าพระราชวังหลวง ต่อมาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จลงมาพร้อมกับสมเด็จพระนเรศวร ได้เรียกชื่อพระราชวังแห่งนี้ว่า วังจันทร์ ตามชื่อวังจันทร์อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร ที่เมืองพิษณุโลก
พระราชวังจันทรเกษม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ซึ่งในอดีตจะเรียกกันว่า "คูขื่อหน้า" โดยอยู่ภายในเกาะเมืองอยุธยา ใกล้กับตลาดหัวรอ ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา ที่แห่งนี้พระนเรศวร เคยใช้เป็นที่บัญชาการรับศึกหงสาวดีเมื่อปี พ.ศ.2129 และเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และพระมหาอุปราชที่สำคัญของไทยถึง 8 พระองค์ด้วยกันคือ
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
- สมเด็จพระเอกาทศรถ
- เจ้าฟ้าสุทัศน์
- สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
- ขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ)
- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
- สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
- กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)
นั่นคือขณะที่สมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ที่วังนี้พระองค์เป็นมหาอุปราช ต่อเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ ระหว่าง พ.ศ. 2133 - 2148 ได้สถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระอนุชา) เป็นพระมหาอุปราช ได้ให้ประทับที่วังจันทร์นี้ และเรียกว่า วังจันทร์บวร
ครั้นต่อมาสมเด็จพระเอกาทศรถ ขึ้นครองราชย์ ระหว่าง พ.ศ. 2148 - 2153 ได้สถาปนาเจ้าฟ้าสุทัศน์ พระราชโอรสองค์โตซึ่งเกิดกับพระมเหสี ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชแทน และประทับที่วังหน้าเช่นกัน แต่เจ้าฟ้าสุทัศน์ ถูกข้อหาขบถต่อพระราชบิดา จึงเสวยยาพิษและสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ซึ่งเป็นโอรสองค์ถัดมา (โอรสที่เกิดกับพระมเหสี)ได้ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียงไม่ถึงปี ก็ถูกราชประหาร
โดยในช่วงแผ่นดินของพระศรีเสาวภาคย์นี้ จหมื่นศรีสรรักษ์ ได้ซ่องสุมกำลังทหาร บุกเข้าวังหลวงนำพระศรีเสาวภาคย์มาสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ และอัญเชิญพระอินทรราชา (พระราชโอรสของพระเอกาทศรถ ที่เกิดกับสนม) ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างผนวช ลาสิกขาบทมาครองราชย์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าทรงธรรม และตั้งจหมื่นศรีสรรักษ์ เป็นพระอุปราช แต่ไม่ได้ประทับที่วังแห่งนี้ ทำให้วังนี้ว่างเว้นจากการเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช นานถึง 46 ปีด้วยกัน
พระเจ้าทรงธรรม ครองแผ่นดินระหว่างปี พ.ศ. 2154 - 2171 นานถึง 17 ปี เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต เกิดการแย่งชิงราชบัลลังค์ระหว่างพระราชโอรสพี่น้อง ในที่สุดพระเชษฐาธิราช พระราชโอรสองค์โต ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ โดยสำเร็จโทษพระอนุชาเสีย แต่ครองแผ่นดินได้เพียงปีเศษ ก็ถูกออกญาศรีวรวงศ์ (จหมื่นศรีสรรักษ์) สำเร็จโทษ และอัญเชิญพระอาทิตยวงศ์ ซึ่งเป็น พระอนุชาองค์สุดท้องขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ด้วยวัยเพียง 9 ชันษา โดยมีพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์ ( คือออกญาศรีวรวงศ์หรือจหมื่นศรีสรรักษ์นั่นเอง) เป็นผู้สำเร็จราชการ
พระอาทิตยวงศ์ครองราชย์ได้เพียง 36 วัน เหล่าขุนนางเห็นว่าพระองค์เอาแต่เล่นซุกซนตามประสาเด็ก เกรงจะเสียหายต่อราชการ จึงอัญเชิญลงจากบัลลังค์ และพระยากลาโหม ก็ได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง และสถาปนาราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์ปราสาททอง ครองราชย์ต่อมานานถึง 25 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2173 - 2198 )
หลังจากพระเจ้าปราสาททอง เสด็จสวรรคต เมื่อปี 2198 พระราชโอรสองค์โต ที่เกิดกับพระมเหสี คือสมเด็จเจ้าฟ้าไชย ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา แต่ครองราชย์ได้เพียง 9 เดือน ก็ถูกพระศรีสุธรรมราชา ซึ่งเป็นพระปิตุลา(ลุง) และ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พระโอรสพระเจ้าปราสาททองที่เกิดกับราชเทวี) สำเร็จโทษและชิงราชสมบัติ
พระศรีสุธรรมราชาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมา โดยสถาปนา พระนารายณ์ เป็นพระมหาอุปราช และให้ประทับที่วังจันทร์ ขณะนั้นเรียกวังบวรสถานมงคล วังนี้จึงกลับมาเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชอีกครั้งหนึ่งนับแต่นั้น
แต่พระศรีสุธรรมราชา ครองราชย์ได้เพียง 2 เดือนเศษ ก็ถูกพระนารายณ์ชิงราชบัลลังค์ เมื่อ พ.ศ. 2199 สมเด็จพระนารายณ์ได้ขึ้นรองราชย์ต่อมานานถึง 32 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2199 - 2231) ในระหว่างการครองแผ่นดินของพระองค์ ได้สร้างเมืองลพบุรีให้เป็นราชธานีแห่งที่ 2 และพระองค์ได้ไปสวรรคตที่นั่นเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ปราสาททอง
ในช่วงปลายรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์ ได้แต่งตั้งพระเพทราชา เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะที่ประทับอยู่ลพบุรี ได้ทรงประชวรหนัก พระเพทราชาได้กำจัดพระปิย์ โอรสบุญธรรมของพระนารายณ์เสีย (พระนารายณ์ไม่มีโอรสกับพระมเหสี) ครั้นเมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต บรรดาขุนนางจึงได้อัญเชิญพระเพทราชา ขึ้นครองราชย์ต่อไป
พระเพทราชา เป็นสามัญชนบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี ที่เข้ารับราชการในวังจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย หลังจากขึ้นครองราชย์ ก็ได้ตั้งราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง และครองราชย์ต่อมาถึง 15 ปี (ระหว่างปี 2232 - 2246) เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2246 โดยขุนหลวงสรศักดิ์ หรือพระเจ้าเสือ โอรสบุญธรรม ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา
พระเจ้าเสือ เป็นโอรสลับของพระนารายณ์ ที่เกิดกับนางสนม ต่อมาพระนารายณ์ได้พระราชทานนางสนมนี้ให้กับพระเพทราชา พอโตขึ้นพระเจ้าเสือก็ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระนารายณ์จนเป็นที่โปรดปราณได้รับเลื่อนเป็นขุนหลวงสรศักดิ์ และในสมัยพระเพทราชา ขุนหลวงสรศักดิ์ได้รับสถาปนาให้เป็นมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประทับที่วังจันทร์ หรือ วังบวรสถานมงคล จนกระทั่งขึ้นครองราชย์ โดยครองราชย์อยู่ 5 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2246 - 2251)
หลังจากพระเจ้าเสือเสด็จสวรรคต พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พระโอรสองค์โต (เจ้าฟ้าเพชร) ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา และสถาปนาพระอนุชา (เจ้าฟ้าพรหรือพระเจ้าบรมโกศ) เป็นอุปราช ซึ่งขณะนี้เรียกว่ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประทับที่วังจันทร์ หรือวังบวรสถานมงคล พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ครองราชย์อยู่ 24 ปี (ระหว่างปี พ.ศ. 2251 - 2275) ก็เสด็จสวรรคตในปี 2275
ในท้ายของรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันระหว่างพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระอนุชาของพระเจ้าท้ายสระ (เจ้าฟ้าพร) กับพระโอรสของพระเจ้าท้ายสระ 2 องค์ ภายหลังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ประหารชีวิตโอรสทั้ง 2 พระองค์ และได้ขึ้นครองราชย์ต่อมานานถึง 26 ปี (ระหว่างปี 2275 -2301)
ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้แต่งตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ หรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบตร์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง พระโอรส เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) ประทับที่วังจันทร์หรือวังบวรสถานมงคล และเป็นองค์สุดท้ายที่ประทับที่วังจันทร์แห่งนี้
ช่วงแผ่นดินของพระเจ้าบรมโกศบ้านเมืองเจริญมาก และมีขุนนางดีเกิดขึ้นหลายคน เช่น พระเจ้ากรุงธนบุรี , พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตลอดจนด้านกวีก็มี เจ้าฟ้ากุ้ง ซึ่งเป็นพระโอรสของพระองค์เอง ต่อมาเจ้าฟ้ากุ้งได้ลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระราชบิดา จึงต้องพระอาญาให้เฆี่ยนตี จนสวรรคต นำพระศพไปฝังที่วัดไชยวัฒนาราม พระราชวังจันทร์หรือวังบวรสถานมงคล ก็มิได้เป็นที่ประทับของอุปราชพระองค์ใดอีก และพระเจ้าบรมโกศ ก็มิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นมหาอุปราชอีกนานถึง 11 ปี จึงแต่งตั้งกรมขุนพรพินิต หรือเจ้าฟ้าอุทุมพร พระโอรสอีกองค์หนึ่ง เป็นอุปราช และได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา หลังจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคตเมื่อปี 2301 ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเศษ ก็สละราชสมบัติให้กับพระเชษฐาร่วมพระมารดาคือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ แล้วทรงออกผนวช ประทับอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม จึงเป็นที่มาของการขนานนามพระองค์ว่า ขุนหลวงหาวัด
ช่วงก่อนที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจะแต่งตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพร พระอนุชาของพระเจ้าเอกทัศน์ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น เจ้าฟ้าอุทุมพรได้ทรงขอต่อพระราชบิดาให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าเอกทัศน์ซึ่งเป็นพระเชษฐาร่วมมารดา แต่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงตรัสว่า เจ้าฟ้าเอกทัศน์นั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรมิได้ หากจะให้ดำรงตำแหน่งมหาอุปราช บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย จึงสั่งให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ออกผนวชเพื่อมิให้ขัดขวางเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นอุปราช แต่หลังจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต เจ้าฟ้าเอกทัศน์กลับมาแสดงความประสงค์จะขึ้นครองราชย์ จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ยอมสละราชบัลลังค์ให้กับพระเชษฐา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ครองราชย์ได้ 9 ปี (ระหว่างปี 2301 - 2310) ไทยก็เสียกรุงแก่พม่า และเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง
ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 พระราชวังจันทร์ได้ถูกทิ้งร้าง จนเหลือแต่ซากปรักหักพังจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการบูรณะปรับปรุงเพื่อใช้เป็นที่ประทับและเป็นท้องพระโรงสำหรับว่าราชการขณะเสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยา
พลับพลาจตุรมุขปัจจุบัน |
ภายในพระราชวังจันทรเกษม จะมีอาคารเรียกว่าพลับพลาจตุรมุข อยู่ติดกับกำแพงพระราชวัง ไม่พบหลักฐานว่าในอดีตช่วงนั้นใช้เพื่อการใด แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นใหม่บนรากฐานเดิมที่เหลือเพียงซากอิฐถือปูนของฐานพลับพลา ฉะนั้นภายในอาคารหลังนี้ จึงมีเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 4 หลงเหลือให้เราได้มีโอกาสชมหลายอย่าง
ท้องพระโรงสำหรับว่าราชการ |
พระแท่นบรรทมของรัชกาลที่ 4 |
ของใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 4 |
ของใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 4 |
หม้อกรองน้ำ ของใช้ส่วนพระองค์ในรัชกาลที่ 4 |
ถังอาบน้ำ ของใช้ส่วนพระองค์รัชกาลที่ 4 |
หลังจากนั้น ก็มีการปรับปรุงซ่อมแซมเป็นระยะในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ,รัชกาลที่ 6 , รัชกาลที่ 7 ตลอดจนรัชกาลปัจจุบัน
ถัดจากพลับพลาจตุรมุข จะเป็นพระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงรัชกาลที่ 4
ด้านหน้าของอาคารจะมีรูปปั้นขนาดเล็กของพระนเรศวรขณะหลั่งน้ำสิโนทก เพื่อให้คนที่เข้าชมวังสักการะ ใกล้ ๆ รูปปั้นพระนเรศวรจะมีรูปปั้นไก่อยู่หลายตัวทีเดียว ตามประวัติบอกว่าท่านชื่นชอบการ ชนไก่เป็นชีวิตจิตใจ
ถัดไปจะเป็นอาคารมหาดไทย เป็นอาคารชั้นเดียวซึ่งใช้เป็นที่ตั้งแสดง พระพุทธรูปโบราณ เครื่องใช้ โบราณ และวัตถุโบราณต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพ
ปัจจุบันพระราชวังจันทรเกษมได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากกรมศิลปากร ใช้เป็นอยุธยาพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในส่วนภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย
ขอขอบคุณข้อมูลจากวังจันทรเกษม และ http://www.wikipedia.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น