มิใช่เป็นเพียงเมืองทะเลที่มีหาดทรายงดงาม ที่ทำให้ภูเก็ตได้ชื่อว่า "ไข่มุกแห่งอันดามัน" สร้างจุดขายให้กับเมืองภูเก็ต จนมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากมาย หาดบางแห่งเช่นป่าตอง กลายสภาพเป็นเมืองของคนต่างชาติที่ชุลมุนวุ่นวายกันทั้งกลางวันและกลางคืน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงด้านหนึ่งของภูเก็ตเท่านั้น ที่สักวันหนึ่งข้างหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
แต่อีกด้านหนึ่งของภูเก็ต ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเสน่ห์ คือความเก่าแก่แห่งย่านเมืองเก่าของภูเก็ตซึ่งอยู่ใจกลางเมือง เป็นตึกรามบ้านช่อง ที่มีแบบของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างจีนและยุโรปที่สวยงามและหาได้ยากยิ่ง ไม่พบว่ามีที่ใดนอกจากภูเก็ต และชาวภูเก็ตก็ร่วมมือร่วมใจกันรักษาความเก่าแก่นี้ให้คงอยู่ได้จนปัจจุบัน
การเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตในระยะหลัง ข้าพเจ้าจึงเน้นที่จะไปชมความงดงามของตึกเก่า ๆ เหล่านี้มากกว่าสิ่งอื่น เพราะดูกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นภาพของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต
ไปเที่ยวครั้งนี้ จึงเลือกพักที่โรงแรม sino house โรงแรมสไตล์ชิโน บนถนนมนตรีย่านใจกลางเมือง ตามคำแนะนำของเพื่อนข้าพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหาร"ระย้า" ร้านอาหารดังของภูเก็ตที่อยู่ใกล้ ๆ โรงแรม
เสาหน้าโรงแรมมีลายสลักสวยงามสไตล์ยุโรป |
ทางเข้าโรงแรมออกสไตล์จีน |
เครืื่องประดับลวดลายจีน |
ภายในโรงแรมสไตล์จีน |
ตู้โชว์จีน |
สภาพในห้องนอน |
ย่านเมืองเก่าภูเก็ต อยู่ห่างจากโรงแรมนี้เพียงนิดเดียว เพียงเดินออกจากโรงแรมไปทางซ้ายมือจะพบสี่แยกไฟแดง ข้ามถนนไปเลี้ยวขวาก็จะเป็นถิ่นเมืองเก่าแล้ว มีตึกทรงเก่าให้เห็นตลอดแนวของถนนดีบุกและถนนถลาง ที่สวยงามมาก ๆ
ร้านอาหารระย้าของเพื่อนข้าพเจ้า |
สภาพภายในร้านระย้าออกแนวเก่า ๆ |
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโน-โปรตุกิส เกิดขึ้นในอดีตช่วงที่เมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายดีบุก ภูเก็ตเป็นเมืองเกาะ การติดต่อกับต่างชาติโดยทางเรือจึงมีความสดวกมาช้านาน ชนชาติอินเดีย จะเป็นพวกแรก ๆ ที่เข้ามาค้าขายและหาดีบุกบริเวณตะกั่วป่า และรู้จักภูเก็ต ในชื่อเมืองถลาง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของตะกั่วป่า หลังจากนั้นก็มีพวกจีนและฝรั่งชาติต่างๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ภูเก็ต ชาติแรกที่เข้ามาคือโปรตุเกส ต่อมาเป็นชาวฮอลันดา ฝรั่งเศส เข้ามาในช่วงแผ่นดินของกรุงศรีอยุธยา และอังกฤษ เข้ามาในช่วงกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลที่เกาะถลางอยู่ในแนวเส้นทางเดินเรือจากอินเดียมายังคาบสมุทรมลายู เกาะถลางจึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินเรือยุคต้น ๆ ซึ่งบางครั้งเรียกเมืองนี้ว่า "จังซีลอน"
การที่ชาวต่างชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ย่อมต้องนำเอาวัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ด้วยแน่นอนสถาปัตยกรรมที่พบเห็นหลงเหลืออยู่ในขณะนี้จึงมีผลมาจากครั้งอดีตนั้น คนที่มีฐานะร่ำรวยจากการค้า ก็จะก่อสร้างบ้านเรือนโดยใช้ช่างฝีมือจากเมืองปีนัง เพราะขณะนั้นการติดต่อระหว่างภูเก็ต กับ กรุงเทพซึ่งเป็นเมืองหลวงเป็นไปอย่างไม่สดวก จะต้องขี่ช้างหรือนั่งเรือจากภูเก็ตไปตะกั่วป่าแล้วเลยไปยังเขาพนมคีรีรัฐ ล่องไปตามลำน้ำพนมคีรีออกสู่พุนพิน บ้านดอน สุราษฎร์ ผ่านชุมพร ประจวบ หัวหิน ชะอำ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และปากน้ำเจ้าพระยาแล้วจึงเข้ากรุงเทพมหานคร เดินทางครั้งหนึ่งต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ แตกต่างกับการเดินทางระหว่างภเก็ต - ปีนัง โดยนั่งเรือกลไฟออกจากภูเก็ตเลียบฝั่งทะเลตะวันตกไปถึงเกาะปีนัง ใช้เวลาเพียง ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้น บรรดานักธุรกิจ นายเหมือง และนักท่องเที่ยวชาวภูเก็ต จึงสมัครใจเดินทางไปปีนังมากกว่ากรุงเทพ และคนมีฐานะก็มักจะส่งลูกไปเรียนที่ปีนัง
ปีนังในยุคนั้น มีความเจริญหลายอย่างเทียบเท่ากรุงเทพ และยังเหนือกว่าตรงที่ปีนังได้รับการพัฒนาแผนจากอังกฤษ มีเรือกลไฟทั้งใหญ่น้อยเข้ามาจอดค้าขายได้โดยปลอดภาษี สถาปัตยกรรมของเมืองปีนัง มีรูปแบบผสมผสานของยุโรปผสมจีน ซึ่งใหม่แปลกตา เป็นที่สนใจของชาวภูเก็ตที่ได้ไปพบเห็นฉะนั้นการถ่ายทอดแบบสถาปัตยกรรมดังกล่าวจึงเกิดขึ้นจากการนำแบบแปลนก่อสร้างและช่างผู้ทำการก่อสร้างมาจากปีนังกันจำนวนมาก บรรดาสถาปนิกเหล่านี้ให้ชื่อรูปแบบนี้ว่า "ชิโน-โปรตุกิสสไตล์"
ตึกที่เห็นเหล่านี้ เมื่อเทียบอายุจากช่วงเวลานั้น ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี จึงน่าจะเป็นความภาคภูมิใจของชาวภูเก็ตที่ยังรักษาไว้ได้อยู่จนปัจจุบันนี้
The old town of phuket จึงเป็นจุดที่ไม่ควรพลาด เมื่อท่านไปเยือนภูเก็ต นอกเหนือจากการไปชมความงามของธรรมชาติ ตามหาดทรายต่าง ๆ ที่ใคร ๆ ก็หลงไหล
และก็ไหน ๆ ก็ไปแล้ว ไม่ควรพลาดไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองภูเก็ตด้วยอย่างน้อยก็ ๓ แห่ง
หลวงพ่อแช่มวัดฉลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองภูเก็ต |
โบสถ์วัดฉลอง |
Big buddha วัดนาคเกิด |
พระผุดที่วัดพระทอง |
เพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าสำหรับการเดินทางแล้ว.............สวัสดีภูเก็ต...........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น