สถานที่ในภาพนี้ ไม่ใช่ปราสาทหินพิมาย ไม่ใช่ปราสาทพนมรุ้ง ไม่ใช่พระปรางค์สามยอด แต่เป็นพระปรางค์ในวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรีนี่เอง
ถ้าจะพูดถึงเพชรบุรี คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเพชรบุรี เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในหลายด้าน แต่ทราบหรือไม่ว่า จังหวัดเพชรบุรีมีความเก่าแก่มากเกิน 1,000 ปีแล้วมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี จึงนับว่าเก่ากว่าอาณาจักรอยุธยาเสียอีก
สิ่งที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ในคำกล่าวข้างต้น ก็คือศิลปวัฒนธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างน้อยก็ 2 แห่ง
แห่งแรกก็คือที่วัดกำแพงแลง ข้าพเจ้าพบประวัติที่ปรากฏอยู่ในวัดว่า อายุของปราสาทวัดกำแพงแลงแห่งนี้ อยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 พ.ศ. 1734 อันเป็นปีที่ปรากฏอยู่ในจารึกปราสาทพระขรรค์ ซึ่งปรากฏชื่อเมืองแห่งนี้ว่า"ศรีชัยวัชรปุระ" เป็นศิลปะสมัยบายน อันเป็นศิลปสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยทราบได้จากรูปแบบของสถาปัตยกรรมและวัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างคือ "ศิลาแลง"
ปราสาทพระขรรค์ ก็คือปราสาทอยู่ที่ประเทศกัมพูชา จารึกที่ปราสาทพระขรรค์กล่าวถึงเมือง“ศรีชัยวัชรปุระ” (เมืองเพชรบุรี) ว่าเป็นหนึ่งในหกเมืองโบราณในภาคกลาง ซึ่งได้มีการส่งพระชัยพุทธมหานาถ 1 ใน 23 องค์จากเมืองพระนครหลวง มาประดิษฐานที่เมืองเพชรบุรีนั่นก็คือปราสาทวัดกำแพงแลง และเมื่อเทียบกับโบราณสถานแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ปราสาทกำแพงแลงแห่งนี้ ก็คือปราสาทที่กล่าวถึงในจารึกนั้น ซึ่งปราสาทพระขรรค์ เป็นปราสาทที่ร่วมสมัยกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน
ศาสนสถานแห่งนี้ไม่เคยมีการประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนาพราหมณ์แต่อย่างใด เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ปราสาทสามหลังสร้างถวายพระพุทธรูปนาคปรกหรือพระชัยพุทธมหานาถ ปราสาทด้านทิศใต้สร้างถวายพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อันแสดงถึงความเมตตากรุณา ปราสาททางด้านทิศเหนือสร้างถวายพระนางปรัชญาปารมิตา แสดงถึงความมีปัญญาเนื่องจากในมือของพระนางถือคัมภีร์
ส่วนในสมัยต่อมา ศาสนาพราหมณ์ จะถูกนำขึ้นมานับถือใหม่ ในรัชกาลของหลานของพระองค์ แต่ก็หาได้มีบารมีที่จะแผ่มาถึงดินแดนแถบภาคกลางไม่ ต่างจากพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับที่ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี ปรากฏร่องรอยของศาสนาพุทธมหายานอยู่ อันเป็นอิทธิพลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน
หลังจากสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สิ้นไปแล้ว ปราสาทวัดกำแพงแลงแห่งนี้ คงจะถูกทิ้งร้างไปราว 600 ปีเศษ ที่บริเวณนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ตราบจนกระทั่งถึงสมัยที่พุทธศาสนาแบบหินยาน (เถรวาท) เริ่มแพร่หลายในดินแดนแถบนี้ ก็ได้เริ่มสร้างวัดในบริเวณศาสนสถานแห่งนี้ขึ้นในปี 2497 ชื่อวัดกำแพงแลง ซึ่งก็หมายถึงกำแพงวัดที่ก่อด้วยศิลาแลง วัดนี้จึงมีอายุไม่ถึง 100 ปี แต่โบราณสถานปราสาทศิลาแลงมีมาก่อนยาวนานมาก
หากผู้ใดไปเที่ยวชมที่วัดนี้ จะพบกำแพง 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นแนวกำแพงวัด ส่วนชั้นในจะเป็นแนวกำแพงศาสนสถานเดิมที่ทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน และมีพระปรางค์หลงเหลืออยู่ 5 องค์
หลักฐานที่หลงเหลือเหล่านี้ แสดงถึงความเก่าแก่โบราณของเมืองประวัติศาสตร์เพชรบุรีได้ชัดเจน หลักฐานแห่งที่สองก็คือพระปรางค์วัดมหาธาตุ
พระปรางค์วัดมหาธาตุเป็นพระปรางค์ 5 ยอด ตามหลักฐานจากหนังสือของวัดมหาธาตุ สันนิษฐานไว้ว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยทวาราวดีเช่นกัน โดยสันนิษฐานจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ภายในวัด ซึ่งมีการขุดพบทรากอิฐสมัยทวาราวดีอยู่เป็นจำนวนมาก
สภาพพระปรางค์หักทั้ง 5 ยอดก่อนบูรณะ |
ในอดีตเคยมีปรากฏว่ายอดพระปรางค์หักพังลงมาถึง 3 ครั้งด้วยกัน จึงมีการบูรณะปฏิสังขรณ์กันมาเป็นช่วง ๆ คือ
- ในปี 2357 วัดและชาวบ้านได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ต่อยอดพระปรางค์ ซึ่งพังลงมาก่อนหน้านี้มาช้านาน จนแล้วเสร็จ
- ในปี 2406 ยอดพระปรางค์ที่ซ่อมได้หักลงมาอีกครั้งหลังจากที่ซ่อมแซมแล้วเสร็จเมื่อ49 ปีที่แล้ว ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระยาเพชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กองต่อยอดพระปรางค์จนสำเร็จเรียบร้อย
- ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2471 ยอดพระปรางค์ซึ่งเคยซ่อมไว้เมื่อปี 2406 (ประมาณ 65 ปีที่ผ่านมา) ก็พังลงมาอีกครั้ง จึงมีการบูรณะใหม่เมื่อปี 2471 จนเสร็จสิ้นในปี 2479 และในปี 2535(ประมาณ 56 ปีต่อมา) ก็มีการบูรณะอีกครั้ง ทำให้พระปรางค์ยังอยู่ในสภาพดีจนถึงปัจจุบัน
จึงนับเป็นโชคดีของชาวเมืองเพชร ที่ยังสามารถรักษาพระปรางค์วัดมหาธาตุให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองได้ และเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองเพชรมาช้านาน
นอกเหนือจากหลักฐานสมัยทวาราวดีทั้ง 2 แห่ง ยังมีการขุดพบเครื่องมือเครื่องใช้ ประเภทขวาน หินขัด เครื่องประดับจากหิน และภาชนะดินเผา โครงกระดูก ในบริเวณเขากระปุก เขากระจิว เขตอำเภอท่ายาง ร่องรอยของหลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในยุคที่ขอมเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลมาถึงเพชรบุรี และอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เป็นชุมชนใหญ่ จึงได้มีการสร้างสถาปัตยกรรมเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นสื่อทางพุทธศาสนาที่นับถือกันในยุคนั้น จวบจนเมื่อชุมชนโบราณของชาวทวาราวดีที่อาศัยอยู่ในเพชรบุรีสิ้นยุคแล้ว จึงปรากฏชื่อเมืองเพชรบุรีในสมัยสุโขทัย ซึ่งเชื่อกันว่าเมืองเพชรบุรีจะเป็นชุมชนใหญ่ที่มีกษัตริย์ปกครอง
เรื่องอาณาจักรเพชรบุรีที่เคยมีกษัตริย์ปกครองนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้ข้อคิดเห็นว่า เดิมเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้ว เมืองเพชรบุรีมีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช จนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นใหญ่ อำนาจของเมืองทั้งสองจึงตกแก่กรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามหากจะรวบรวมพระนามกษัตริย์อาณาจักรเพชรบุรีที่ปรากฏมี 6 พระนามด้วยกันคือ
- พระพนมทะเลศรีมเหนทราชาธิราช
- พระพนมไชยศิริ
- พระกฤติสาร
- พระอินทราชา
- พระเจ้าอู่ทอง
- เจ้าสาม
ลุล่วงมาถึงสมัยอยุธยา เพชรบุรีเป็นเมืองที่ข้าศึกจะต้องยกทัพผ่าน เพื่อจะไปตีกรุงศรีอยุธยา เมืองนี้จึงถือเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ และยังเป็นเมืองที่เรือสินค้าต่าง ๆ จอดแวะพักก่อนจะเข้าไปยังเมืองหลวง หรือปักษ์ใต้ เพราะสภาพของเมืองมีทำเลที่ตั้งติดชายฝั่งทะเล ทำให้เมืองเพชรบุรีมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอดีต หนังสือหลาย ๆ เล่ม ได้กล่าวถึงนครเพชรแห่งนี้ ว่าเคยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับเมืองจีน มีการส่งเครื่องบรรณาการยังเมืองจีน ความข้อนี้เห็นว่าน่าจะมีส่วนจริง เพราะที่อำเภอบ้านแหลม ซึ่งเป็นบ้านเกิดข้าพเจ้า เป็นเมืองชายขอบที่มีดินแดนอยู่ติดกับชายฝั่งทะเล ปากอ่าวบ้านแหลม และปากอ่าวบางตะบูน จึงเป็นช่องทางการค้าจากเรือสำเภาซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากเมืองจีน บ้านคนรุ่นเก่าของอำเภอบ้านแหลมหลายๆบ้าน มักจะมีถ้วยชามสังคโลก จากเมืองจีนกันแทบทั้งสิ้น และคนท้องถิ่นจะมีเชื้อสายจีนผสมเป็นส่วนใหญ่
จนถึงสมัยธนบุรี ก็มีประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ว่า ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อปี 2310 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาตากได้พาไพร่พลไทย-จีน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองจันทบุรี ส่วนนางนกเอี้ยงมารดาได้อพยพหลบภัยไปอยู่กับญาติที่อำเภอบ้านแหลม จวบจนเมื่อเสร็จศึก พระองค์ทรงรำลึกถึงน้ำใจไมตรีของชาวบ้านแหลมที่ได้ถวายอารักขาแด่พระมารดาของพระองค์ ตลอดช่วงสงคราม จึงมีรับสั่งให้รื้อพระที่นั่งองค์หนึ่งจากกรุงศรีอยุธยา มาดัดแปลงสร้างเป็นศาลาการเปรียญที่วัดในกลาง อำเภอบ้านแหลม
ศาลาการเปรียญวัดในกลาง |
ในยุครัตนโกสินทร์ เมืองเพชรบุรีเป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ด้วยกัน ตามหลักฐานที่ปรากฏที่ พระนครคีรี , พระรามราชนิเวศน์ , พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
พระนครคีรี |
พระรามราชนิเวศน์ |
โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเสวยน้ำที่แม่น้ำเพชรบุรี ทรงเรียกว่า"น้ำเพชร" โดยมีสถานที่ตักน้ำเสวยบริเวณท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ และโปรดให้มีท้องตราตักน้ำบริเวณท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ ลำเลียงส่งเข้ากรุงเทพ เพื่อเป็นน้ำสรงและเสวย เดือนละ 2 ครั้ง ๆ ละ 20 ตุ่ม เป็นประจำตลอดจนสิ้นรัชกาล
ศาลาไม้สักท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ |
ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่เพชรบุรี หลายครั้งด้วยกันและที่อำเภอบ้านแหลมบ้านเกิดข้าพเจ้าเคยมีโอกาสได้รับเสด็จพระองค์ท่านถึง 2 ครั้งคือ
- เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2429 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งถึงอ่าวบ้านแหลม ประทับแรมบนเรือพระที่นั่ง และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เสด็จขึ้นบนพลับพลาบ้านใหม่แล้วเสด็จทรงม้าพระที่นั่งถึงพระนครคีรี
- เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2452 พระองค์เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเข้าปากอ่าวบ้านแหลม ล่องไปตามลำน้ำเพชรบุรีถึงหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด และวันที่ 12 กันยายน เสด็จประพาสตลาดผ่านไปตามถนนแนวกำแพงเมือง ผ่านหน้าวัดกำแพงแลงทอดพระเนตรวัดใหญ่สุวรรณาราม
ประวัติศาสตร์เหล่านี้ สมควรที่อนุชนคนเมืองเพชรทั้งหลาย ต้องจดจำและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง.......ศรีชัยวัชรปุระ ... เมืองประวัติศาสตร์ของเรา.
ขอขอบคุณข้อมูลจากวัดกำแพงแลง , วัดมหาธาตุ , วัดในกลาง และหนังสือ"ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเพชรบุรี รวมถึงรูปภาพจากหนังสือ"โซ่งตักน้ำเข้าวัด" ของคุณทวีโรจน์ กล่ำกล่อมจิตต์
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะลื้อพระตำหนักในสมัยกรุงศรีมาดัดแปลงสร้างเป็นศาลาการเปรียญที่วัดในกลาง อำเภอบ้านแหลมได้อยางไรเล่า เพราะถูกเผาไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ที่วัดกลางสนมนั้น เห็นที่จะเป็นการสร้างใหม่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมารดา น่าจะสับสนกับวัดสุวรรณาราม หรือ วัดใหญ่ (นามปัจจุบัน วัดใหญ่สุวรรณาราม) ที่ลื้อพระตำหนักถวายมา
ตอบลบ