คืนนั้นเป็นคืนเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อุทธยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ขึ้นเขาไปสักการะรอยพระพุทธบาท โดยแต่ละปีจะเปิดให้คนขึ้นเพียง ๖๐ วันเท่านั้นและในปี ๒๕๕๗ กำหนดเปิดเขาระหว่าง ๓๐ มกราคม - ๓๑ มีนาคม ช่วงนั้นจึงมีผู้คนล้นหลาม รอขึ้นเขากันทั้งวันทั้งคืน ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นที่หวังจะได้ขึ้นไปสักครั้งหนึ่งในชีวิตและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องไปในปีนี้ให้ได้
เราใช้บริการทัวร์ซึ่งจัดไปสักการะรอยพระพุทธบาทบนเขาคิชฌกูฏโดยเฉพาะ ออกเดินทางจากกรุงเทพในช่วงค่ำประมาณ ๑๙.๐๐ น. เข้าเขตจันทบุรีก็ประมาณเที่ยงคืน ถึงวัดพลวงก่อนตีหนึ่ง แม้จะเป็นยามดึก แต่ที่วัดพลวงสว่างไสวเหมือนกับเป็นกลางวัน ผู้คนกวักไกว่แน่นขนัดไปหมด บริเวณนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นเขาคิชฌกูฏ คนจากทั่วสารทิศที่มาเพื่อจะขึ้นเขา จะต้องนำรถยนตร์มาจอดไว้ที่วัดพลวงทั้งหมดและขึ้นเขาด้วยรถปิดอัฟเท่านั้น ทางอุทยานไม่อนุญาติให้นำรถส่วนตัวขึ้นนอกจากที่ได้รับอนุญาติ ก่อนขึ้นรถปิคอัพทุกคนต้องซื้อบัตรก่อนในราคาประมาณ ๕๐.- บาท/คน ในบัตรนั้นจะมีเลขที่กำกับไว้ เพื่อให้แต่ละคนได้ขึ้นรถตามคิว
ยอดเขาคิชฌกูฏอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร ระยะทางจากตีนเขาถึงยอดเขา ประมาณเกือบ ๑๐ กิโลเมตร ทางขึ้นเป็นถนนดิน สูงชัน และคดเคี้ยว หักศอกตลอดทาง ถ้าไม่มีความชำนาญคงไปเรื่องยากทีเดียวในการขับรถขึ้นเอง นี่คงเป็นเหตุผลที่กรมอุทยานได้ห้ามไว้นั่นเอง เพราะมิฉะนั้น คงมีเรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุกันบ่อย เพราะเหตุที่เส้นทางลำบากมากจริงๆ แม้แต่รถปิ๊กอัพที่นำพวกเราขึ้นก็ยังต้องแบ่งการวิ่งออกเป็น ๒ ช่วง ๆ ละ ๔ กิโลเมตร รถจะรับผู้โดยสารจากเชิงเขาขึ้นไปประมาณ ๔ กิโลเมตร ส่งผู้โดยสารครึ่งทาง เราต้องไปซื้อบัตรอีกครั้งเพื่อต่อรถขึ้นไปอีกครึ่งทางช่วงบน วิ่งไปอีก ๔ กิโลเมตร ก็จะส่งผู้โดยสาร เพื่อเดินต่อไปอีก ๑ กิโลเมตรเศษ ทุกคนต้องเดิน ๆ ๆ ยกเว้นคนที่ไม่ไหวจริง ๆ ก็จะมีลูกหาบรับจ้างแบกขึ้น ตลอดเส้นทางช่วงที่ต้องเดินจะมีพระพุทธรูปให้สักการะตลอดทาง โดยจัดตั้งไว้เป็นระยะ ๆ จนถึงจุดสูงสุดซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาท และหินลูกพระบาท ตั้งเด่นเป็นสง่า ซึ่งเป็นไฮไลท์ของเขาคิชฌกูฏ
เรื่องตำนานรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฎนี้ ข้าพเจ้าได้อ่านพบจากหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ของ จ.จันทบุรี ระบุว่าเจ้าอาวาสวัดกระทิง (พระครูธรรมสรคุณ) เป็นผู้สืบค้นประวัติเขาคิชฌกูฏ โดยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ มีชาวบ้าน กลุ่มหนึ่งชื่อ นายติ่ง และพรรคพวก ได้พากันขึ้นเขาไปหาไม้กฤษณามาขาย ต้องพักอยู่บนเขาหลายวัน และได้ไปพักเหนื่อยบนลานหินกว้างใหญ่ เพื่อนของนายติ่ง ได้ถอนหญ้าเพื่อนอนพัก ก็พบแหวนวงใหญ่มาก ขนาดสวมใส่แม่เท้าได้ เป็นที่แปลกประหลาด จึงช่วยกันตรวจดูเพิ่ม ก็พบหินแผ่นหนึ่งมีพื้นที่เป็นรูปรอยก้นหอย
หลังจากนายติ่งลงมาจากเขาก็มิได้บอกกล่าวเล่าความแก่ผู้ใด จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ได้นำบุตรชายไปอุปสมบทที่วัดพลับ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งตรงกับที่วัดมีงานเทศกาลปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง นายติ่งจึงซื้อทองไปปิดรอยพระพุทธบาทนั้น และพูดเปรยว่า รอยพระพุทธบาทเช่นนี้ทางบ้านผมก็มีเหมือนกัน มีพระรูปหนึ่งมาได้ยินเข้าและนำไปบอกเล่าต่อเจ้าวาส นายติ่งจึงถูกเจ้าอาวาสเรียกไปสอบถามและให้นำคณะขึ้นไปพิสูจน์ ก็พบว่าเป็นจริงตามคำบอกเล่าของนายติ่ง และเมื่อตรวจดูตามบริเวณทั่ว ๆ ก็พบสิ่งแปลกประหลาดและสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง
รอยพระพุทธบาทนั้น ท่านทรงเหยียบจารึกไว้ที่ศิลาแผ่นใหญ่ บรรจุคนนั่งได้เป็นร้อยกว่าคน ขนาดกว้าง ๑ เมตร ยาว ๒ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรอยพระพุทธบาท มีหินกลมก้อนใหญ่มาก เรียกกันว่าหินลูกพระบาท ตั้งขึ้นมาน่าแปลกและมหัศจรรย์เป็นอย่างมากที่ไม่น่าจะตั้งอยู่ได้ มองดูคล้าย ๆ ลอยอยู่เฉย ๆ มีคนเคยเอาด้ายสายสิญจน์คล้องแล้วหลุดมาได้ และยังมีหินอีกลูกหนึ่งใหญ่มากเหมือนกัน อยู่ตรงข้ามกับหินลูกพระบาทนี้ ก็มีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ จากรอยพระพุทธบาทกับรอยพระหัตถ์นั้นห่างกันประมาณ ๕ เมตร และยิ่งแปลกไปกว่านั้น ในก้อนหินนั้น ตรงกันข้ามกับรอยพระหัตถ์ ยังมีรูปรอยเท้าใหญ่ อันนี้เรียกรอยเท้าพญามาร เพียงแหงนหน้าขึ้นไปมองจะเห็นได้ทันที สูงประมาณ ๑๕ เมตร
ความมหัศจรรย์นี้ถูกถ่ายทอดเป็นตำนานและเล่าขานสืบเนื่องกันมายาวนานจนปัจจุบัน และความมหัศจรรย์ในความคงอยู่ของก้อนหินยักษ์ที่เรียกว่าหินลูกพระบาท ที่วางตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ยิ่งสร้างความศรัทธาให้กับพุทธศาสนิกชนที่รับรู้มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ตลอดระยะทางที่เดินขึ้น จึงมีผู้คนมากมายเรียกว่าเดินตามกันเป็นทิวแถวก็ว่าได้ กลางคืนจึงไม่ต่างจากกลางวัน ผู่คนเหล่านี้มาจากทั่วสารทิศของเมืองไทย
รอยพระบาทนี้ แต่เดิมเรียกขานกันว่าพระบาทพลวง เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านพลวง ต.พลวง อ.มะขาม จ.จันทบุรี แต่เป็นความประสงค์ของพระครูธรรมสรคุณ ที่อยากจะให้รำลึกถึงสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ซึงเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในพุทธกาล คือยอดเขาคิชฌกุฏในประเทศอินเดีย ด้วยว่าลักษณะและสภาพภูมิประเทศของเขาคิชฌกูฏที่จันทบุรี คล้ายคลึงกับเขาคิชฌกูฏประเทศอินเดียมาก ทั้งแนวเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและสิ่งมหัศจรรย์ที่ทรงคุณค่าทางศาสนาที่อยู่บนยอดเขาจึงตั้งชื่อว่าเขาคิชฌกูฏ
เขาคิชฌกูฏจึงเปรียบเสมือนเป็นแดนพุทธประวัติ ผู้ใดได้ขึ้นเขาคิชฌกูฏเพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทจึงเสมือนหนึ่งกับการได้เดินทางไปยังดินแดนของพระพุทธเจ้า แม้การเดินทางจะลำบาก และเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากว่าจะถึงแต่หากมีจิตใจมุ่งมั่น ใจก็จะอิ่มเอมไปด้วยบุญ และหายเหน็ดเหนื่อยเมื่อไปถึงบริเวณหินลูกพระบาท จะพบผู้คนแน่นขนัดรอคิวสักการะรอยพระพุทธบาทอยู่ มีเจ้าหน้าที่คอยกำกับให้เป็นระเบียบและทำหน้าที่นำสวด พร้อมทั้งแนะนำพุทธศาสนิกชนให้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ๑ คำขอ
น่าเชื่อได้ว่าบุคคลเหล่านั้นได้รับพรตามคำขอกับถ้วนหน้า อย่างน้อยก็ได้พบกับความสุขที่เกิดขึ้นในใจของทุกคนที่มีความตั้งใจขึ้นมาสักการะ คืนเพ็ญคืนนั้นจึงเป็นคืนอันศักดิ์สิทธิ์ แสงจันทร์ที่สาดส่องมาบนโลก จึงเป็นดั่งแสงบุญที่อาบร่างนับร้อยนับพันนับหมื่นคนบนนั้นอย่างทั่วถึงได้ คณะของเราเดินทางลงจากเขาในช่วงหกโมงเช้าของวันใหม่ด้วยความอิ่มเอมในอาณิสงฆ์แห่งบุญที่สัมผัสได้กันทั่วหน้า ความยากลำบากของการเดินทางในครั้งนี้ ย่อมสะท้อนถึงสัจจธรรมได้ชัดเจน สิ่งดี ๆ ในชีวิต มิได้มาอย่างง่ายดาย มันจะต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนเสมอ หากคนเรามีความเพียร ย่อมทำทุกสิ่งได้สำเร็จ สัจจธรรมข้อนี้คงเป็นที่ประจักษ์ต่อพุทธศาสนิกชนที่ขึ้นมาบนเขาคิชฌกูชทุกคน
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จ.จันทบุรี และรูปภาพจาก google
ความมหัศจรรย์นี้ถูกถ่ายทอดเป็นตำนานและเล่าขานสืบเนื่องกันมายาวนานจนปัจจุบัน และความมหัศจรรย์ในความคงอยู่ของก้อนหินยักษ์ที่เรียกว่าหินลูกพระบาท ที่วางตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ยิ่งสร้างความศรัทธาให้กับพุทธศาสนิกชนที่รับรู้มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ตลอดระยะทางที่เดินขึ้น จึงมีผู้คนมากมายเรียกว่าเดินตามกันเป็นทิวแถวก็ว่าได้ กลางคืนจึงไม่ต่างจากกลางวัน ผู่คนเหล่านี้มาจากทั่วสารทิศของเมืองไทย
รอยพระบาทนี้ แต่เดิมเรียกขานกันว่าพระบาทพลวง เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านพลวง ต.พลวง อ.มะขาม จ.จันทบุรี แต่เป็นความประสงค์ของพระครูธรรมสรคุณ ที่อยากจะให้รำลึกถึงสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ซึงเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในพุทธกาล คือยอดเขาคิชฌกุฏในประเทศอินเดีย ด้วยว่าลักษณะและสภาพภูมิประเทศของเขาคิชฌกูฏที่จันทบุรี คล้ายคลึงกับเขาคิชฌกูฏประเทศอินเดียมาก ทั้งแนวเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและสิ่งมหัศจรรย์ที่ทรงคุณค่าทางศาสนาที่อยู่บนยอดเขาจึงตั้งชื่อว่าเขาคิชฌกูฏ
เขาคิชฌกูฏจึงเปรียบเสมือนเป็นแดนพุทธประวัติ ผู้ใดได้ขึ้นเขาคิชฌกูฏเพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทจึงเสมือนหนึ่งกับการได้เดินทางไปยังดินแดนของพระพุทธเจ้า แม้การเดินทางจะลำบาก และเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากว่าจะถึงแต่หากมีจิตใจมุ่งมั่น ใจก็จะอิ่มเอมไปด้วยบุญ และหายเหน็ดเหนื่อยเมื่อไปถึงบริเวณหินลูกพระบาท จะพบผู้คนแน่นขนัดรอคิวสักการะรอยพระพุทธบาทอยู่ มีเจ้าหน้าที่คอยกำกับให้เป็นระเบียบและทำหน้าที่นำสวด พร้อมทั้งแนะนำพุทธศาสนิกชนให้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ๑ คำขอ
น่าเชื่อได้ว่าบุคคลเหล่านั้นได้รับพรตามคำขอกับถ้วนหน้า อย่างน้อยก็ได้พบกับความสุขที่เกิดขึ้นในใจของทุกคนที่มีความตั้งใจขึ้นมาสักการะ คืนเพ็ญคืนนั้นจึงเป็นคืนอันศักดิ์สิทธิ์ แสงจันทร์ที่สาดส่องมาบนโลก จึงเป็นดั่งแสงบุญที่อาบร่างนับร้อยนับพันนับหมื่นคนบนนั้นอย่างทั่วถึงได้ คณะของเราเดินทางลงจากเขาในช่วงหกโมงเช้าของวันใหม่ด้วยความอิ่มเอมในอาณิสงฆ์แห่งบุญที่สัมผัสได้กันทั่วหน้า ความยากลำบากของการเดินทางในครั้งนี้ ย่อมสะท้อนถึงสัจจธรรมได้ชัดเจน สิ่งดี ๆ ในชีวิต มิได้มาอย่างง่ายดาย มันจะต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนเสมอ หากคนเรามีความเพียร ย่อมทำทุกสิ่งได้สำเร็จ สัจจธรรมข้อนี้คงเป็นที่ประจักษ์ต่อพุทธศาสนิกชนที่ขึ้นมาบนเขาคิชฌกูชทุกคน
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จ.จันทบุรี และรูปภาพจาก google
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น