วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ถึงเดือน ตุลาคม 2555 ครบรอบปีแห่งการเผชิญวิบากกรรมจากภัยน้ำที่เกิดขึ้นกับประชาชนทุกภาคส่วนในประเทศไทย เมื่อปี 2554
ภัยพิบัติในปี 2554 เป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดของไทย ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาซึ่ง เกือบจะเรียกได้ว่าน้ำท่วมประเทศไทย เพราะพื้นที่ ๆ ได้รับผลกระทบมีถึง 65 จังหวัด เกือบ 90% ของประเทศ มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำนองเต็มไปหมด แม้แต่สนามบินดอนเมือง
เป็นที่วิพากย์กันทั้งประเทศว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นเพราะการบริหารน้ำผิดพลาด หรือเพราะอย่างอื่น และใครสมควรต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดวิกฤตในสังคมขึ้นในช่วงนั้นอย่างรุนแรง จากการโทษกันไปโทษกันมา ระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล
ถ้าคิดอย่างไม่โทษกัน ก็น่าจะเป็นทั้ง 2 อย่าง เพราะไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จะต้องมีการเก็บกักน้ำเพื่อให้ชาวไร่ชาวนาใช้ทำนาได้ตลอดปี แต่สิ่งไม่คาดฝันนั่นก็คือ เจ้าพายุโซนร้อนที่เคลื่อนตัวมาจากทะเลจีนใต้ เข้าซัดกระหน่ำไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ไหหม่า นกเต็น ไห่ถาง เนสาด นาลแก ประเทศไทยมักไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากมรสุมโดยตรงเท่าใดนัก เมื่อได้รับทั้งทีก็จัดหนักกันเลยแบบ 5 ลูกต่อเนื่องกันตั้งแต่เหนือยันใต้ จึงทำให้ปรับแผนการบริหารน้ำไม่ทัน เมื่อจวนตัวเข้า ก็จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อรักษาเขื่อน ผลกระทบต่อประชาชน จึงเป็นอย่างที่เห็นกัน คือ เดือดร้อนกันทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนราษฎร เลือกสวนไร่นา รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรม เสียหายยับเยิน
เมื่อดูความเสียหายของภาคธุรกิจ เทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนเช่นเรา มองแล้วน้อยนิด แต่ในความรู้สีกของประชาชนคนหนึ่งเห็นว่า มันยิ่งใหญ่ เพราะตลอดชีวิตที่จำความได้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยเลยที่น้ำท่วมบ้านจนไม่สามารถใช้เป็นที่พักพิงต่อไปได้ ต้องอพยพหนีไปนอนโรงแรม เหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงสมควรต้องนำมาเป็นบทเรียน ทั้งแก่ผู้รับผิดชอบในการบริหารประเทศชาติ และ บทเรียนแก่ประชาชน
ข้าพเจ้าเองมีบ้านเรือนตั้งอยู่ในเขตบางพลัด เขตแรก ๆ ที่ต้องรับวิบากกรรมจากอุทกภัย ที่น้ำท่วมจนล้นทุ่งอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี บางกรวย และสู่บางพลัดซึ่งอยู่เขตติดกัน ทำให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องประกาศก้องในวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ว่าให้ประชาชนทั้งหมดในเขตบางพลัดอพยพ !! จึงทำให้ข้าพเจ้าได้รับบทเรียนก่อนใคร ๆ
บทเรียนบทแรกที่ได้รับในครั้งนั้นก็คือ "การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ" ภัยครั้งนี้ทำให้ประชาชนได้มีโอกาสซ้อมใหญ่ในการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ สิ่งที่จะต้องเตรียมขั้นพื้นฐานก็คือปัจจัย 4 ประกอบด้วย อาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งข้าพเจ้ากระทำได้อย่างไม่ตกหล่น
- ซื้ออาหารมาตุนไว้เต็มตู้เย็นเลย หมู กุ้ง ปลา ผัก อาหารกระป๋องเพียบ ไข่ไก่เกือบครึ่งร้อย
- กรองน้ำดื่มไว้เต็มพิกัด โดยประเมินว่าน่าจะพอไว้กินใช้ครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย และยาต่างๆ สำหรับโรคพื้นฐาน
- ซื้อถุงดำเตรียมไว้เกือบลัง มีครบทุกขนาด สำหรับใส่ขยะ และอาจจะต้องใส่ของเสียส่วนตัว ในภาวะที่ไม่สามารถใช้สุขาได้
- เลือกเสื้อผ้าที่จะใช้ไว้เฉพาะที่ซักง่ายไม่ต้องรีด เพื่อให้สดวกต่อการใช้สอย
- ยกของขึ้นที่สูงในระดับที่เชื่อว่าพ้นน้ำแน่นอน ซึ่งประเมินว่าอาจจะเข้าตัวบ้านแต่ไม่น่าจะเกิน 50 ซม. เพราะบ้านข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าระดับถนนพอสมควร
- ซื้อเทียน ถ่านไฟฉายไว้หลายขนาด เตรียมไว้เผื่อกรณีไม่มีไฟฟ้าใช้
- เตรียมกระสอบทรายไว้พอสมควร ไว้กั้นไม่ให้น้ำเข้าเฉพาะตัวบ้าน ยอมให้บริเวณบ้านซึ่งมีเนื้อที่ไม่มากนักเป็นแก้มลิงรับน้ำบ้าง เป็นการช่วยเหลือส่วนรวม
- เอารถยนตร์ไปจอดที่ธนาคารเพื่อความปลอดภัย ขณะนั้นข้าพเจ้ายังทำงานอยู่ จึงสามารถขอจอดรถได้ยาวเลย ยอมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ดีกว่าปล่อยให้น้ำท่วม โชคดีที่ได้รับการอนุเคราะห์จากธนาคาร ส่วนลูกสาวไปทำงานต่างจังหวัด เอารถไปด้วย จึงหายห่วงในเรื่องนี้
คืนวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครประกาศให้อพยพ ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านคือดร.ชัยยงค์ และอัจจนา ยังร่วมปรับทุกข์และปรึกษาหารือด้วยกัน พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์จริงจากการออกไปสำรวจยามค่ำคืนประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้ที่บริเวณหน้าปากซอย และพบว่าเวลาใกล้เข้ามาแล้วจริง ๆ จากสิ่งที่พบเห็นคือน้ำในท่อระบายน้ำมีแรงกระเพื่อมแรงมากและเสียงดังอย่างน่าตกใจ จนเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าตัดสินใจอพยพในคืนนั้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง มีสามีเป็นหลักในการจัดการเตรียมรับสถานการณ์ยังใจเย็นอยู่ รอจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ก็เริ่มเห็นน้ำเต็มท่อและล้นออกมานองถนนในซอยหน้าบ้าน แต่ก็ยังใจเย็นรอประเมินสถานการณ์ ถ้าปริมาณน้ำไม่สูงมากนัก ก็พอจะอาศัยอยู่ในบ้านได้ จึงไม่กังวลนัก
สภาพน้ำในซอยวันที่ 27 ตุลาคม 2554 เริ่มล้นออกจากท่อระบายน้ำ |
น้ำเต็มซอยในวันที่ 28 ตุลาคม 2554 และเริ่มเข้าบ้าน |
มนุษย์ทุกคนย่อมมีความห่วงใยในทรัพย์สินของตนเอง ข้าพเจ้าเองก็มิได้แตกต่างไปจากคนอื่น จึงหวนกลับไปดูแลทรัพย์สินของตนในวันรุ่งขึ้น (29 ตุลาคม 2554) เมื่อไปถึง สิ่งที่เห็นมันหนักหนากว่าที่คาดคิดมากมาย รถยนตร์วิ่งได้เพียงเชิงสพานซังฮี้ฝั่งพระนคร ต้องเดินข้ามสพานเอา และเมื่อมาถึงฝั่งธนบุรี ก็พบว่าน้ำท่วมตลิ่ง ท่วมบ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งน้ำ และนองถนนทั้งสายแล้ว ไม่น้อยกว่า 30 ซม.
อุโมงค์ลอดทางแยกบางพลัด หน้าปากซอย 71 กลายสภาพเป็นแก้มลิงจำเป็น |
เดินลุยต่อเข้ามาถึงตัวบ้าน ก็พบว่า บ้านทุกบ้านในซอยนี้ กลายสภาพเป็นบ้านกลางน้ำไปแล้วทุกหลัง นี่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง น้ำสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 60 ซม.
ต้นมะม่วงใหญ่ที่ปลูกไว้ 1 ต้น กลายสภาพเป็นต้นไม้น้ำ ข้าวของทุกอย่างในบ้านลอยละล่องเต็มไปหมด และสภาพน้ำเหล่านั้นเป็นน้ำที่ผ่านความสกปรกมาแล้วหลายจังหวัด ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนเกินวิสัยที่จะอาศัยอยู่ได้
ในวันที่ 29 ตุลาคม 2554 เป็นวันที่น้ำท่วมสูงสุด และทรงอยู่ระยะหนึ่ง จึงค่อย ๆ ลดลง ท่วมอยู่ถึง 12 วันเต็ม ๆ เมื่อเข้ามาสำรวจบ้านก็พบร่องรอยของความเสียหายเกิดขึ้นทั่วไปหมด
บทเรียนบทที่สอง ที่ได้ในครั้งนี้ก็คือ "การยอมรับสถานการณ์ อย่างมีสติ" แม้จะเตรียมพร้อมทุกอย่าง แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเกินความคาดหมาย ก็จำต้องปรับตัวปรับใจ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีที่มาและที่ไปย่อมสามารถแก้ไขได้ หากมีสติ ภัยน้ำในครั้งนี้ เมื่อประเมินสถานการณ์โดยรวมแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาอยู่ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเอาใจประชาชน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามทางของมัน เฉกเช่นเดียวกับน้ำย่อมจะต้องไหลจากที่สูงลงต่ำ น้ำมีคุณอนันต์ ย่อมมักจะมีโทษมหันต์ด้วย ถ้าเรายอมรับได้ก็ไม่ต้องไปโทษใคร
บทเรียนที่สาม ที่พบหลังน้ำลด ก็คือ " การปรับวิถีชีวิตตามแนวพอเพียง " ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรต้องปรับวิถีชีวิตใหม่ แต่ละบ้านที่ได้รับความเสียหาย ต่างขนเข้าของที่เสียหายออกมาทิ้งกันไม่น้อยกว่า 1 คันรถกะบะต่อบ้านแต่ละหลัง ทรัพย์สินมากมายที่มีอยู่ ล้วนเกินความจำเป็นทั้งสิ้น ทรัพย์สินที่เกินความจำเป็นเหล่านี้หากเราแบ่งปัน บริจาคให้ผู้ด้อยโอกาสไปเสียบ้าง ให้คนที่เขาเดือดร้อนไปใช้ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะเก็บงำไว้ และในที่สุดก็ต้องเสียหายเช่นนี้ บทเรียนในครั้งนี้ทำให้ต้องตระหนักถึงแนวทางการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงให้มากขึ้น เพราะนับแต่นี้เป็นต้น ภัยพิบัติอื่น ๆ อาจเข้ามาใกล้ตัวเราบ่อยขึ้น โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
วิกฤติจากภัยน้ำในครั้งนี้ แม้จะทำให้เราสูญเสีย ก็เพียงแค่ทรัพย์สินเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้มาคือบทเรียนที่จะทำให้ทุกชึวิตมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมกันมากขึ้น จึงถือว่าไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว และที่สำคัญคือ หมั่นกระทำความดีให้เป็นนิจ หากมีทุกข์หนัก ก็อาจช่วยผ่อนคลายให้เป็นเบาได้........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น