ข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาดร้อยปีสามชุกบ่อยครั้งมาก แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้เพียงครั้งเดียวเพราะทุกครั้งที่ได้ไปพบเห็นสภาพชุมชนและบรรยากาศของร้านค้าที่นั่นแล้ว เสมือนเข้าไปเดินอยู่ในอดีตและทำให้นึกถึงวิถีชีวิตและวิถีการค้าของผู้คนไทยในกาลก่อน
ตลาดสามชุกเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีอายุเกิน 100 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองท่าที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นจุดที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า และเป็นจุดพักเรือสินค้าที่จะขึ้นล่องสู่บางกอก บริเวณท่าน้ำตลาดสามชุก จะหนาแน่นไปด้วยเรือเมล์ เรือขนส่งสินค้า เรือข้าว เรือถ่าน เรือผัก เรือผลไม้ และสินค้าอื่น นานาชนิด และด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนหลายเชื้อชาติที่ล่องเรือมาค้าขายคิดอยากจะตั้งรกรากทำมาหากินที่นี่ ทั้งกะเหรี่ยง มอญ ละว้าโดยเฉพาะคนจีน มีการก่อตั้งศาสนสถานขึ้นเช่น ศาลเจ้า วัด โรงมหรสพ ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านค้าทองคำ ร้านถ่ายรูป ร้านขายยาโบราณ ร้านเสริมสวย ฯลฯ ซึ่งล้วนเสริมสร้างให้สามชุก เป็นแหล่งค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
เนื่องจากการนำสินค้ามาค้าขาย แต่ละวันจะมีเรือสินค้ามาจอดเทียบท่าจำนวนมาก บางครั้งต้องการค้างพักแรม จึงมีชาวจีนคิดดัดแปลงห้องแถวไม้เปิดดำเนินกิจการเป็นโรงแรมขึ้นที่นี่ ชื่อโรงแรมอุดมโชค ซึ่งปัจจุบันอาจจะไม่มีผู้ใดมาพักแล้ว แต่เจ้าของยังรักษาสภาพเดิม ๆ ไว้ให้เราได้เห็น
การค้าขายที่ตลาดสามชุก เริ่มเงียบเหงาซบเซา หลังจากราชการตัดถนนผ่านชุมชนต่าง ๆ ทำให้การคมนาคมทางบกมีความสดวกสบายกว่าทางน้ำ การซื้อขายทางเรือเช่นแต่ก่อนจึงเริ่มลดน้อยถอยลง และเปลี่ยนเป็นทางบกไปในที่สุด ตลาดสามชุกเริ่มมีสภาพร้างคนไปในช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งคนในชุมชนที่เห็นคุณค่าของตลาดแห่งนี้ รวมตัวกันพัฒนาเชิงอนุรักษ์ขึ้น เกิดเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกขึ้นมาช่วยกันฟื้นฟูรักษาศิลปะ วิถีชีวิต และ สถาปัตยกรรมเดิม ๆ ให้ยังคงอยู่ และใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้วิถีของสังคมในอดีต ตลาดสามชุกจึงหวนกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง
คนที่ไปเที่ยวตลาดสามชุก ไม่ควรพลาดชมสถานที่แห่งหนึ่งในบริเวณตลาดนี้ นั่นคือ บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนที่บอกเล่าความเป็นมาในอดีตให้เราได้ทราบ ขุนจำนงจีนารักษ์ ท่านมีนามเดิมว่า นายหุย แซ่เฮงเป็นคนจีนที่เกิดในแผ่นดินไทย สมัยที่มีชีวิตอยู่ ประกอบอาชีพค้าขาย มีโรงเหล้าและโรงยาฝิ่น กิจการค้าของท่านเจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป ตัวท่านเองเป็นคนมีจิตเมตตาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จึงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำชุมชน และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนจำนงจีนารักษ์ นายอากรสุรา ต่อมาภายหลังรัฐบาลประกาศยกเลิกการสูบฝิ่น ท่านจึงหันไปทำสวนทำไร่ และเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 83 ปี บุตรหลานของท่านได้อนุญาติให้ใช้บ้านของท่านเป็นพิพิธภัณฑ์และเก็บของใช้โบราณ สำหรับผู้สนใจเข้าชมเพื่อศึกษาหาความรู้ จึงนับว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างมากต่อสังคม โดยเฉพาะบ้านของท่านซึ่งมีศิลปะลวดลายฉลุที่สวยงามบริเวณช่องลม หาดูได้ยากในปัจจุบัน
ที่บริเวณหน้าตลาดสามชุก จะมีตู้ไปรษณีย์โบราณตั้งอยู่ 1 ตู้ ตู้ไปรษณีย์โบราณนี้มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณ พ.ศ. 2454 ทำขึ้นในประเทศอังกฤษ ถือเป็นตู้ไปรษณีย์ยุคแรก ๆ ของไทย ที่หน้าตู้จะระบุเวลาไขวันละ 3 ช่วงเวลา แสดงเวลาลักษณะของฝรั่ง นั่นคือ
6 ก.ท. คือ 6 โมง ก่อนเที่ยง หรือ 6 A.M.
10 ก.ท. คือ 10 โมง ก่อนเที่ยง หรือ 10 A.M.
2 ล.ท. คือ 2 โมง หลังเที่ยง หรือ 2 P.M. นั่นเอง
ปัจจุบัน ตลาดสามชุกได้กลับมาคึกคักเช่นเดิม แม้วันเวลาจะเปลี่ยนไปนับร้อยปี เพราะชุมชนนี้เข้มแข็ง จึงสามารถอนุรักษ์ให้คงอยู่ได้ มีผู้คนไปเที่ยวชมทั้งวันธรรมดา และวันหยุดราชการ ตลาดนี้จึงเปิดขายตามปกติโดยไม่มีวันหยุด และจะไม่มีวันร้าง มีข้าวของมากมาย ที่น่าสนใจซื้อหา
ไม่ว่าใครได้ไปเที่ยวชม ก็จะได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกคน ตลาดสามชุกในวันนี้ จึงนับว่ายังมีลมหายใจ และมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง แม้ว่าแม่น้ำท่าจีนจะเงียบสงบ ไม่คึกคักพลุกพล่านเหมือนเช่นก่อนแล้ว แต่แม่น้ำสายนี้ ได้โอบล้อมสามชุกให้ร่มเย็น และหายใจต่อเนื่องไปได้อย่างยั่งยืนอีกยาวนาน............
วิถีชีวิตที่สงบและเรียบง่ายของคนในชุมชนนี้ จึงยังคงมีให้เห็นที่ตลาดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น