อ่างทองเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่น่าสนใจ แต่ในข้อเท็จจริง อ่างทองเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่เมืองหนึ่งที่น่าศึกษามากทีเดียว และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็สามารถเที่ยวชมแหล่งประวัติศาสตร์ได้หลายแห่ง อ่างทองเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่ติดกับจังหวัดอยุธยา ประวัติศาสตร์หลาย ๆ เรื่องราวจึงมาอยู่ที่อ่างทอง หนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ จ.อ่างทอง เขียนไว้ว่า ในครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรจะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช พระองค์ได้เสด็จมาชุมนุมพลที่ป่าโมก จ.อ่างทอง และถวายสักการบูชาพระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าโมก รวมทั้งทำพิธีตัดไม้ข่มนาม เอาฤกษ์เอาชัยก่อนออกรบ ในครั้งนั้นประวัติศาสตร์กล่าวว่า ขณะที่ประทับแรมที่นี่พระองค์ทรงสุบินนิมิตว่าได้ทรงต่อสู้กับจระเข้และทรงฆ่าจระเข้ตาย ครั้นเมื่อกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ก็ทรงมีชัยฆ่าพระมหาอุปราชาจนทิวงคต
วัดป่าโมก |
วัดป่าโมกวรวิหารแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่ง ที่มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22 เมตรเศษ สันนิษฐานว่า สร้างมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยโดยเล่าขานกันว่า องค์พระได้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด ราษฎรจึงบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาไว้ที่ริมฝั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดเดิม ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2269 น้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้กัดเซาะตลิ่งหน้าวัดป่าโมก เข้ามาจนใกล้พระวิหาร เจ้าอธิการวัดจึงนำความเข้าหารือกับเจ้าพระยาราชสงคราม จนความทราบไปถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้โปรดเกล้าฯให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กองงานจัดการชะลอลากให้ห่างจากแม่น้ำแล้วนำมาประดิษฐาน ณ.วัดใต้ คือวัดป่าโมกปัจจุบัน ซึ่งห่างจากวัดเดิม 10 เส้น ในครั้งนั้นพระองค์เสด็จมาควบคุมการชะลอองค์พระให้พ้นจากกระแสน้ำเซาะตลิ่งพังด้วยพระองค์เอง ทั้งยังทรงโปรด ฯ ให้สร้างวิหาร การเปรียญ โรงอุโบสถ พระเจดีย์ กุฏิ ศาลา ฯลฯ ใช้เวลาถึง 5 ปี จึงแล้วเสร็จแต่ยังมิทันได้ฉลอง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระก็เสด็จประชวร และสวรรคตไปเสียก่อน ปัจจุบันวัดนี้ได้รับการบูรณะเรื่อยมาจนอยู่ในสภาพดี
พระนอนวัดป่าโมก |
วิธีการชะลอลากพระ |
ผู้ที่เป็นแม่กองงานในครั้งนั้นคือพระยาราชสงคราม ท่านมีนามเดิมว่า ปาน เป็นผู้ขันอาสาชะลอพระพุทธไสยาสน์มาสถิต ณ.วัดป่าโมกปัจจุบันเมื่อ พ.ศ.2270-2271 เพื่อให้พ้นจากอุทกอันตราย ใช้เวลาดำเนินการถึง 5 เดือนโดยตั้งมั่นว่าหากพระพุทธไสยาสน์เกิดความเสียหายจะยอมถวายชีวิตและท่านก็สามารถทำได้สำเร็จ วัดป่าโมกจึงสร้างรูปหล่อของท่าน และพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ไว้เป็นที่ระลึก ประดิษฐานอยู่ที่หน้าวิหารแห่งนี้
พระยาราชสงคราม |
พระเจ้าท้ายสระ |
เหนืออำเภอเมืองขึ้นไปจะเป็นอำเภอไชโยซึ่งเป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวของประวัติศาสตร์อยู่ ชื่อของอำเภอไชโยนี้สันนิษฐานว่าอาจตั้งขึ้นในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้กรีฑาทัพ ณ.จุดนี้ขึ้นไปรบชนะทัพพระเจ้าเชียงใหม่ราวปี พ.ศ. 2128 จึงเรียกขานหมู่บ้านนี้ว่าหมู่บ้านไชโยเรื่อยมา วัดสำคัญที่นี่คือ วัดไชโยวรวิหาร วัดนี้เดิมเป็นวัดราษฎร์เก่าแก่มาช้านาน ต่อมาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตเจ้าอาวาธวัดระฆังโฆษิตาราม ได้มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่กลางแจ้ง ใช้เวลาในการสร้างถึง 2 ครั้ง ๆ แรกสร้างเสร็จไม่นาน ก็หักพังทลายลงมา ครั้งที่ 2 จึงสร้างใหม่ให้ขนาดเล็กลงกว่าเดิม รวมเวลาในการสร้างเกือบ 3 ปี จึงแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายเป็นวัดหลวง รับพระราชทานนามว่า วัดเกษไชโย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าให้บูรณะปฏิสังขรณ์ ใน พ.ศ. 2430 แรงสั่นสะเทือนในขณะบูรณะปฏิสังขรณ์ ทำให้พระพุทธรูปพังทลายลงมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้สร้างพระขึ้นใหม่ ใช้เวลานานถึง 8 ปีจึงแล้วเสร็จ และพระราชทานนามว่า พระมหาพุทธพิมพ์
พระมหาพุทธพิมพ์ |
พระมหาพุทธพิมพ์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่มีขนาดสูงใหญ่สง่างามมาก พระพักต์ของท่านสงบเยือกเย็น ก่อให้เกิดความสงบในจิตใจของผู้ที่มีโอกาสเข้ามาเคารพสักการะ ภายในวิหาร มีภาพถ่ายและรูปปั้นของหลวงปู่โต ประดิษฐานให้ประชาชนได้เคารพสักการะ
การที่หลวงปู่โตได้มาสร้างพระที่วัดไชโย บางตำราเล่าว่า เพื่อเป็นที่ระลึกให้มารดาซึ่งเคยมาพำนักอยู่ถิ่นนี้ในอดีต ข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่านชีวประวัติของหลวงปู่โต จากหนังสือที่ได้รับแจกมา ในงานเผาศพ ของ ดร.มนตรี รัศมี เพื่อนร่วมรุ่น ทราบว่าหลวงปู่โตท่านถือกำเนิดในรัชกาลของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 หลังตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 7 ปี ณ.บ้านไก่จัน ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 เวลาใกล้รุ่งตอนพระออกบิณฑบาต โยมมารดาของท่านชื่อนางงุด โยมตาชื่อนายผล โยมยายชื่อนางลา ฝ่ายบิดาไม่ปรากฏนาม ทราบแต่ว่าเป็นชาวเมืองอื่น ชีวิตในเยาว์วัยของหลวงปู่โตนั้น เมื่อโยมมารดาได้ย้ายถิ่นฐานจากบ้านของโยมยายที่อำเภอไชโย จ.อ่างทอง มาอยู่ที่ ต.บางขุนพรหม ได้มอบท่านให้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพ ฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัย จนเมื่ออายุได้ 12 ปีบริบูรณ์ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ.วัดอินทรวิหาร โดยพระบวรวิริยเถระ เจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นอายุครบบวช 20 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2351 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ได้ทรงโปรดเกล้า ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง ณ.พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดยมีสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก) วัดมหาธาตุ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "พรหมรังสี"
ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นสูงที่สุดเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านมรณภาพ ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เมื่อวันเสาว์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ 2415 เวลาประมาณ 24.00 น.เศษ บนศาลาใหญ่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม สิริมายุได้ 84 ปี พรรษาที่ 64
อภินิหารของท่าน เป็นที่ปรากฏในหลาย ๆ เรื่อง และหลาย ๆ สถานที่ ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อคราวที่รัชกาลที่ 4 ไปสร้างพระราชวังที่ประทับบนยอดเขามไหสวรรย์ หรือที่เรียกกันว่า พระนครคีรี ครั้งนั้นเมื่อสร้างเสร็จก็มีการฉลองติดต่อกันหลายวัน และได้อาราธนาหลวงปู่โตไปในงานพระราชพิธีทางศาสนาด้วย หลวงปู่ท่านเดินทางโดยทางเรือ ไปออกทะเลเข้าสู่อ่าวบ้านแหลม มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเพชรบุรี ในขณะที่อยู่กลางทะเลนั้น บังเกิดพายุกระหน่ำหนัก เพราะเป็นระยะหน้ามรสุม พายุโหมรุนแรงอย่างยิ่ง จนเรือโคลงเคลงจะล่มแหล่มิล่มแหล่ คนแจวเรือทั้ง 4 คน พยายามหันเรือสู้คลื่นลมที่พัดอู้ ๆ มามืดฟ้ามัวฝนอย่างหนัก แต่ว่าไม่สามารถประคองเรือให้ตั้งตรงอยู่ได้ จนกระทั่งหมดปัญญาต้องนั่งลงจับเจ่ากอดเสาเรือไว้แน่น ปล่อยให้คลื่นลมพาเรือไปตามยถากรรม หลวงปู่เห็นเช่นนั้น ท่านก็ออกมาที่หัวเรือ ยืนนิ่งบริกรรมคาถาอยู่พักหนึ่ง ทั้งๆที่พายุรุนแรงและเรือโคลงอย่างนั้นท่านก็ยืนได้อย่างแปลกประหลาด เมื่อบริกรรมคาถาเสร็จเพียงชั่วครู่เดียว พายุฝนที่คะนองหนักก็สงบนิ่งจนเป็นปกติ หลวงปู่โตจึงสามารถไปร่วมพิธีที่พระราชวังเมืองเพชรได้ตามหมายกำหนดการ
นั่นคือเรื่องราวส่วนหนึ่งของหลวงปู่โต ที่ทำให้มีผู้คนไปเคารพสักการะกันอย่างเนืองแน่นเสมอ ๆ ทั้งที่วัดระฆังโฆษิตาราม วัดอินทรวิหาร และวัดไชโย จังหวัดอ่างทอง
ติดกับอำเภอไชโย จะเป็นอำเภอโพธิ์ทอง ซึ่งมีวัดที่น่าสนใจอยู่วัดหนึ่งชื่อวัดขุนอินทประมูล เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวที่สุดและเก่าแก่มากองค์หนึ่ง ตามหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ จ.อ่างทอง กล่าวว่า สมัยที่กรุงสุโขทัยยังไม่เสื่อมอำนาจ ในยุคพระยาเลอไท ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากพ่อขุนรามคำแหงมหาราชผู้เป็นราชบิดา ครั้งนั้นพระยาเลอไท เสด็จพระราชดำเนินจาก กรุงสุโขทัยมานมัสการพระฤาษีสุกกะทันตะ ณ.เขาสมอคอนในเขตกรุงละโว้ การเสด็จครั้งนั้น มาทางลำน้ำยม เข้าสู่ลำน้ำปิง และ แม่น้ำเจ้าพระยา แล้วแยกเข้าแม่น้ำมหาสอน เข้ามาถึงเขาสมอคอน อันเป็นที่พำนักของพระฤาษีสุกกะทันตะ ผู้เป็นทั้งพระอาจารย์ของพระองค์เองกับพระอาจารย์ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้เป็นราชบิดา เมื่อทรงนมัสการพระฤาษีแล้วก็ประทับแรม อยู่ ณ.เขาสมอคอน และโคกบ้านบางพลับ ขณะประทับแรม ณ.โคกบ้านบางพลับ เวลายามสามเกิดศุภนิมิตทอดพระเนตรเห็นลูกไฟดวงใหญ่ลอยขึ้นมาเหนือยอดไม้แล้วหายไปในอากาศทางทิศตะวันออก พระองค์ทรงปิติโสมนัสและทรงพระราชดำริ สร้างพระพุทธไสยาสน์ขนาดยาว 40 เมตร สูง 5 เมตรขึ้นเป็นพุทธบูชา ใช้เวลา 5 เดือนจึงแล้วเสร็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้วทรงขนานนามว่า พระพุทธไสยาสน์เลอไทนฤมิต และทรงมอบหมายให้นายบ้านเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นปรากฏหลักฐานว่ามีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีได้พบร่องรอยการขยายองค์พระให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและยาวถึง 50 เมตร
พระนอนอยู่ระหว่างการบูรณะ |
พระพุทธไสยาสน์องค์นี้จึงถือว่าเป็นองค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เดิมมีวิหารสร้างคลุมอยู่ แต่เกิดไฟไหม้เสียหาย แม้จะได้มีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ก็ถูกไฟไหม้อีก จนปัจจุบันมิได้มีการสร้างวิหารคลุมไว้แต่อย่างใด คงเหลือแต่คานกับเสาของวิหารเพียงบางส่วนเท่านั้น และข้าง ๆ องค์พระนอน มีสถูปร้าง 1 องค์ อยู่ระหว่างการบูรณะเช่นกัน
สถานที่ประวัติศาสตร์ในเมืองอ่างทอง ยังมีอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวในอดีตไปด้วย การเดินทางเพียงนิดเดียว ได้ทราบถึงอดีตมากมาย นับว่าคุ้มค่าแก่การท่องเที่ยวจริง ๆ ...............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น