ถ้าพูดถึงคำว่า "พะเนินทุ่ง" ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จัก แต่คงจะต้องร้องอ๋อ หากรู้ว่าเขาพะเนินทุ่ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ใกล้ ๆ กรุงเทพนี่เอง
เขาพะเนินทุ่ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 50 เมตร เป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้สูงมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ต้นไม้ขึ้นเขียวขจีไปทั่วหุบเขา จึงเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก คนที่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่นี่ ไม่มีใครที่จะไม่ชื่นชอบ ไกลไปจากนี้ไม่มากนักจะเป็นเทือกเขาตะนาวศรี ที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยและพม่า
ข้าพเจ้าและเพื่อน สว. มีโอกาสได้ไปเที่ยวพะเนินทุ่งเมื่อเดือน มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณนายเบญจวรรณ สนธิสุข ที่ขอให้น้องทหารรับภาระจัดการในเรื่องการจองที่พัก และนำรถมารับพวกเราขึ้นเขา เรามีโอกาสได้พักที่เพชรวารินทร์รีสอร์ท รีสอร์ทธรรมชาติที่มีบ้านพักแบบทรงไทยทั้งหมด ที่ดูร่มรื่นสบายตา ดึงดูดใจผู้มาเยือนโดยเฉพาะเป็นที่ชื่นชอบของชาวช่างชาติ
ออกจากกรุงเทพ ก็แวะเวียนชิมอาหารมาตามรายทาง รวมทั้งแวะสูดอากาศบริสุทธิ์ที่บริเวณเหนือเขื่อนแก่งกระจานซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวดังของเมืองเพชรอีกแห่งหนึ่ง กว่าจะถึงรีสอร์ทก็บ่ายคล้อย
รีสอร์ทแนะนำให้พวกเรานั่งเรือยางล่องแม่น้ำเพชรชมธรรมชาติ พวกเราไหนเลยที่จะปฏิเสธได้ โดยเฉพาะข้าพเจ้าซึ่งเกิดมาจนอายุปูนนี้ไม่เคยล่องแม่น้ำเพชรเลยแม้เพียงสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่ลำน้ำแห่งนี้เป็นลำน้ำประวัติศาสตร์ ที่คนเมืองเพชรทั้งหลายภาคภูมิใจว่า พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 6 ชื่นชมว่า น้ำเพชรมีรสชาดดีกว่าลำน้ำอื่น ๆ จนต้องมีการตักน้ำจากลำน้ำเพชรที่ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ นำส่งวังหลวงเป็นประจำทุกเดือน เนิ่นนานมาถึง 3 รัชกาล
รีสอร์ทเป็นผู้ติดต่อรถกะบะให้มารับคณะเรา ไปส่งที่ต้นแม่น้ำเพชร นับเป็นการท่องเที่ยวที่สมบุกสมบันมากสำหรับเหล่าหญิงชราอายุเกิน 60 ที่ต้องกระโดดขึ้นไปนั่งกับพื้นรถกะบะด้านหลังเพื่อไปนั่งเรือยาง พวกเรานั่งเรือยางจากจุดนั้น ล่องเรื่อยมาจนถึงท่าน้ำของรีสอร์ทเพชรวารินทร์ที่พัก ตลอดสองฝั่งน้ำมีโอกาสพบเห็นต้นไม้ป่าหลากหลายชนิดที่ขึ้นปกคลุมป่าตลอดแนว บางต้นสูงใหญ่น่าเกรงขาม บางต้นออกดอกสีชมพูสวยงาม มีนกหลากหลายพันธ์ที่มีสีสรรค์งดงามมาเคล้าเคลีย เพลิดเพลินเสมือนหนึ่งพายเรือล่องแดนสวรรค์ เป็นอีกรสชาดหนึ่งของการท่องเที่ยวในครั้งนี้ มิหนำซ้ำระหว่างล่องเรือ สว.ชุดนี้ยังช่วยพายเรือและมีอารมณ์เห่เรือกันอย่างสนุกสนาน
มาถึงรีสอร์ทก็เย็นพอดี อาหารเย็นถูกจัดเตรียมรับเราที่เรือนทองหลาง เรือนไม้ทรงไทยให้บรรยากาศย้อนยุคสำหรับอาหารเย็นมื้อนั้นได้เป็นอย่างดี กับอาหารพื้นบ้านแบบไทย ๆ พวกเรารับประทานกันจนอิ่มหนำ จึงแยกย้ายกันพักผ่อนออมแรงไว้ขึ้นเขาพะเนินทุ่งวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง นั่นหมายถึงพวกเราจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเป็นอย่างช้า
รถกะบะที่น้องทหารจัดเตรียมให้เรา มารับตรงเวลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากที่พักจึงจะไปถึงพะเนินทุ่งเวลาประมาณ 7 โมงครึ่ง เพื่อให้ทันเห็นทะเลหมอก ระหว่างออกเดินทางซึ่งยังมืดอยู่จึงค่อนข้างน่ากลัว รถต้องวิ่งผ่านป่าเขาซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ได้แต่ภาวนาขออนุญาติจ้าวป่าจ้าวเขา เพื่อขอผ่านทางไปยังจุดหมาย และให้ปกป้องคุ้มครองพวกเราตลอดการเดินทางไปและกลับ ในที่สุด พวกเราก็เดินทางมาถึงแค้มป์บ้านกร่าง ซึ่งอยู่ก่อนทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง
ไปถึงจุดนั้น ก็เริ่มมีแสงสว่างรำไรแล้ว คณะเราเป็น สว. เกิน 60 ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมด เสียเฉพาะค่านำรถเข้าเพียง 30.-บาทเท่านั้น นี่ก็เป็นข้อดีอย่างยิ่งสำหรับพวกแก่แต่ชอบเที่ยวอย่างเรา ได้รับการยกเว้นตลอด จัดได้ว่าความแก่มิใช่มีแต่เรื่องแย่เสมอไป
ออกจากแค้มป์บ้านกร่างก็เริ่มเป็นทางขึ้นเขา ซึ่งแคบและคดเคี้ยว รถวิ่งได้คันเดียว สวนกันไม่ได้ ฉะนั้นการขึ้นพะเนินทุ่งจึงมีเวลาขึ้น เวลาลง ที่ชัดเจน
เส้นทางช่วงขึ้นเขา แม้จะแคบและคดเคี้ยว แต่ธรรมชาติ 2 ข้างทางที่เต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ป่าหลากหลายชนิด และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหมอกทึบ ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการเดินทางในครั้งนี้ อย่างมาก สามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ที่อยู่รอบ ๆ เข้าปอด โดยไม่มีมลพิษมาเป็นอุปสรรคและเย็นสบายไม่แพ้อากาศทางภาคเหนือ
ไปถึงพะเนินทุ่ง ซึ่งอยู่ กม.ที่ 30 ทันเวลาที่จะเห็นทะเลหมอก แต่เจ้ากรรมอากาศวันนั้น มีลมพัดแรงมากอย่างกระทันหันลมพัดจนหมอกกระจายไปทั่ว มองไม่เห็นเป็นทะเลเช่นเวลาที่ลมสงบ ลมที่พัดแรงนี่กระมัง ที่เป็นเหตุให้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก ตกที่บริเวณใกล้ ๆ นี้ลำแล้วลำเล่าในช่วงที่ผ่านมาความแปรปรวนของธรรมชาติเป็นเรื่องที่มิอาจมีใครบังคับได้
รีสอร์ทจัดอาหารกล่องให้พวกเรา มาทานบนพะเนินทุ่ง เมื่อไม่เห็นทะเลหมอกพวกเราจึงใช้เวลามารับประทานอาหารกันแทน มื้อเช้าวันนั้นจึงแสนโรแมนติค เพราะได้ทานอาหารเช้าท่ามกลางสายหมอกและลมที่เย็นสบายเป็นที่สนุกสนานจนได้เวลาลงจากเขา ระหว่างการเดินทางลงนั้นเราโชคดีที่มีโอกาสพบชะนีป่า บริเวณแค้มป์บ้านกร่าง นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนกับจะรอส่งแขกผู้มาเยือน
ก่อนเดินทางกลับ คณะเรามีโอกาสได้ไปแวะชมโครงการ "ชั่งหัวมัน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านได้ไปขอซื้อที่ดินจากชาวบ้านหลายคนรวม 250 ไร่เมื่อปลายปี 51 - 52 เพื่อมาทำเป็นโครงการทดลองปลูกพืชผสมผสาน เป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านใช้เป็นแนวทางนำไปปฏิบัติ นับเป็นโอกาสดีที่ได้มาเยี่ยมชม และเป็นโชคดีของชาวบ้านที่มีพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่าง
ในโครงการนี้ปลูกพืช ผัก ผลไม้ หลากหลายชนิด นับตั้งแต่ มะนาว ชมพู่ มะยงชิด มันเทศ มันฝรั่ง ยางพารา นาข้าว มะพร้าว สับปะรด แก้วมังกร เห็ดหลินจือ เห็ดภูฐาน และยางนา มีหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ ร่วมมือกันพัฒนาตามแนวทางของพระองค์ท่าน สมเด็จพระเทพ ฯ ก็ได้มาซื้อที่ดินที่อยู่ต่อเนื่องกันเพิ่มเติม และทำโครงการในลักษณะเดียวกัน
เมื่อได้สอบถามถึงที่มาของชื่อโครงการนี้ เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีผู้นำมันเทศไปถวายในหลวงที่วังไกลกังวล ส่วนหนึ่งท่านให้นำไปปรุงทาน อีกส่วนหนึ่งวางไว้ใกล้ตาชั่ง ต่อมาปรากฏว่าส่วนหลังนี้เจริญงอกงาม ออกราก ออกใบ จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ให้พระองค์ท่านพระราชทานชื่อ "ชั่งหัวมัน" เป็นชื่อของโครงการนี้ พระองค์ท่านทรงปรารภว่า "มันอยู่ที่ไหน ก็งอกได้"
คำปรารภของพระองค์ท่าน น่าจะมีนัยยะอื่นแฝงอีกหลายอย่าง เมื่อมันอยู่ที่ไหนก็งอกได้ นั่นย่อมหมายถึง คนทำดีอยู่ที่ไหนก็ดีอยู่วันยังค่ำ คนทำความดีอยู่ที่ไหน ความดีก็ย่อมส่องสว่างและเป็นเกราะคุ้มกันภัยได้........
ไม่มีใครที่จะโชคดีเท่ากับการเกิดมาเป็นคนไทย ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่านอีกแล้ว การเดินทางไปชมทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่งในครั้งนี้ ได้รับสิ่งที่มีค่ามาเป็นรางวัล จึงนับว่าโชคดีเป็นยิ่งนัก...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น