ฉันได้มีโอกาสได้ไปเวียตนามกลางเมื่อต้นเดือน พค.55 ที่ผ่านมา การไปในครั้งนี้นับว่าโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้ไกด์เวียตนามที่สามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจนเนื่องจากเธอมาเรียนที่เมืองไทยจนจบปริญญาตรี แถมได้เกียรตินิยมอีกด้วย จึงสามารถถ่ายทอดความรู้ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเวียตนามได้อย่างลึกซึ้งและได้อารมณ์ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่เคยเกลียดชังคนเวียตนาม ได้เปลี่ยนความรู้สึกมาเป็นเห็นใจแทน
เวียตนามเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกับไทย สภาพโดยรวมของเวียตนามเป็นที่ไร่นาเป็นส่วนใหญ่ มองไปทางไหนก็พบแต่ความเขียวขจี มีเพียงบางแห่งเช่นเมืองดานัง ที่มีสภาพของเมืองอุตสาหกรรมปะปน และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่าเห็นใจเวียตนามก็คืออดีตที่ขมขื่นจากวิบากกรรมของสงคราม ที่สร้างความรวดร้าวให้กับคนเวียตนามอย่างฝังลึก เด็ก ๆ ของเวียตนามทุกคนจึงถูกปลูกฝังให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ รักชาติรักแผ่นดิน โรงเรียนในเวียตนามจะเข้าเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า ก่อนเข้าเรียนจะมีการอบรมคุณธรรม 5 ข้อของลุงโฮ คือ 1. รักชาติ รักประชาชน 2. เรียนดี ประพฤติดี 3.สามัคคี มีวินัย 4.รักษาอนามัยดี 5.อ่อนน้อม ถ่อมตน ซื่อสัตย์ กล้าหาญ เด็กคนไหนปฏิบัติตามได้ ก็จะได้รางวัลเป็นผ้าพันคอสีแดง เด็กที่มีผ้าพันคอแดง ก็จะรู้สึกว่าตัวเองต้องทำความดีต่อๆไป เป็นวิธีการที่ปลูกฝังเด็กที่ได้ผลดีมากทีเดียว
วิบากกรรมของเวียตนามเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคที่ฝรั่งเศสล่าอาณานิคมและยึดเอาเวียตนามเป็นเมืองขึ้น ทำให้คนเวียตนามขาดอิสระในการดำรงชีวิต ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของฝรั่งเศส วัฒนธรรมแปลกๆ ในบางอย่าง จึงมีปรากฏให้เห็นจนปัจจุบัน เช่นการนอนกลางวัน คนเวียตนามจะต้องนอนพักหลังอาหารกลางวันทุกวัน ในเวลาเที่ยงหากไปบ้านใคร เขาจะถือว่าเป็นการเสียมารยาท เพราะเป็นเวลานอนของเขา วัฒนธรรมนี้ดูเหมือนจะทำให้เวียตนามเหมือนคนขี้เกียจ แต่แท้จริงเป็นเพราะเขาถูกฝรั่งเศสบังคับ เพื่อไม่ให้คนออกมาชุมนุมกัน จึงบังคับให้นอนกลางวัน ห้ามไปไหน นานๆไปจึงกลายเป็นความเคยชิน คนเวียตนามทำงานกันวันละไม่กี่ชั่วโมง คนจึงมีรายได้น้อยมากเฉลี่ยประมาณ 3,000.-/เดือน เท่านั้น แต่คนเวียตนามก็กินอยู่อย่างประหยัด ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่จะทำนาข้าว , ปลูกผัก กินเอง ส่วนประเภทเนื้อสัตว์แพงมาก มักไม่ค่อยได้ทานกัน ยึดหลักพอเพียงยิ่งกว่าคนไทยเสียอีก
จุดแรกแห่งการท่องเที่ยวในครั้งนี้คือถ้ำฟองญา ซึ่งตั้งอยู่เขตอุทยานแห่งชาติฟองญา ในเมืองกว๋างบินห์ ติดชายแดนลาว ถ้ำแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำที่ยาวที่สุดในเอเซียอาคเนย์ ยาวประมาณ 44 กม. กินเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 800 ตาราง กม.ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก unesco ให้เป็นมรดกโลกในปี 2003 (พศ.2546)
ปากถ้ำฟองญา |
เรือหางยาวล่องมาได้ถึงปากถ้ำ ก็ต้องดับเครื่องและต้องใช้การแจวแทนเพื่อเข้าไปในถ้ำ ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่มีความสูงมากที่สุด กว้างมากที่สุด และ ยาวมากที่สุดในเวียตนาม แต่เราสามารถเข้าไปได้เพียงช่วงต้น ๆ ของถ้ำประมาณ 1.5 กม.เท่านั้น เพราะลึกไปกว่านั้นซึ่งจะแยกเป็นถ้ำเล็กถ้ำน้อย ยังอยู่ระหว่างการสำรวจ จึงยังไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว และยังไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าชม เรือแจวเข้าถ้ำไปประมาณ 1.5 กม. ก็จะพบหาดทรายในถ้ำ พวกเราขึ้นหาดเพื่อชมความงามในถ้ำ มีอยู่จุดหนึ่งมี่หินงอกและหินย้อยบรรจบกันจนเป็นเสา สวยงามมาก เชื่อว่าต้องใช้เวลาสะสมเป็นนับร้อยนับพันปีทีเดียว กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ เป็นความสวยงามตามธรรมชาติที่หาได้ยากมากจริง ๆ
ได้เวลาพอสมควรก็ออกจากถ้ำเดินทางกลับ |
จุดที่สองของการท่องเที่ยวในครั้งนี้คืออุโมงค์วินห์ม๊อค ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลวินห์ม๊อค เมืองกว๋างตรี ที่ตำบลวินห์ม๊อคแห่งนี้จะมีอุโมงค์ทั้งหมด 144 อุโมงค์ เรียกว่าเกือบทุกบ้านจะมีอุโมงค์ของตนเองในการหลบภัยสงคราม แต่อุโมงค์วินห์ม๊อคนี้จะเป็นแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุด บรรจุคนภายในได้ถึง 66 ครอบครัว การเข้าชมอุโมงค์แห่งนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่และเห็นใจคนเวียตนามเป็นอย่างมาก ที่เกือบจะตลอดชีวิตของคนบางคน ต้องอยู่อย่างไม่มีความสุข ต้องคอยหลบระเบิด ต้องหนีตาย ต้องแย่งชิงเพื่อความอยู่รอด ชีวิตของคนเวียตนามเหมือนคนถูกสาบ
สืบเนื่องมาจากอดีตในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ประเทศเวียตนามตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ชาวเวียตนามเองได้พยายามดิ้นรนเพื่อความเป็นเอกราชจากการปกครองของคนผิวขาวมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การดิ้นรนเพื่อความเป็นเอกราชก็ถูกยกระดับเป็นสงคราม โดยกองกำลังกู้ชาติของเวียตนามได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเมื่อปี 1946(พศ.2489) ผลแห่งการสงครามในช่วงนั้น ปรากฏว่าฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำมาโดยตลอด จนต้องพยายามหาทางเอาชนะกองกำลังกู้ชาติให้จงได้ในทุกวิถีทาง โอกาสสุดท้ายของฝรั่งเศสอยู่ที่เมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือของเวียตนาม ฝรั่งเศสโดยการสนับสนุนจากอเมริกา ได้เปิดฉากต่อสู้กับกองกำลังกู้ชาติเวียตนามโดยการสนับสนุนจากจีน เมื่อ มีค.1954 การรบเป็นไปอย่างดุเดือดด้วยอาวุธหนักใช้เวลาถึง 55 วัน ถึงเดือน พค.1954 เดียนเบียนฟูก็แตก ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟู ทำให้ฝรั่งเศสสูญเสียอำนาจทางทหารในเวียตนามไปโดยสิ้นเชิง จนต้องเปิดการเจรจากันที่กรุงเจนีวาระหว่างประเทศคู่สงคราม แต่ในการเจรจานั้นอเมริกาได้คัดค้านที่จะให้เวียตนามได้รับเอกราชอย่างเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นที่มาของการแบ่งเวียตนามออกเป็นเหนือและใต้ โดยใช้เส้นขนานที่ 17 เป็นเส้นแบ่ง และมีเงื่อนไขว่า ภายใน 2 ปี จะให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศเพื่อความเป็นหนึ่งของเวียตนาม
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อตกลงที่ชัดเจน แต่เอกราชของเวียตนาม กว่าจะได้มาก็เต็มไปด้วยขวากหนาม อย่างน่าเห็นใจ เพราะอเมริกาซึ่งได้คัดค้านการรวมเวียตนาม ใช้กลยุทธที่จะให้คนเวียตนามเข่นฆ่ากันเอง โดยให้การหนุนหลังโงดินเดียมห์ให้เป็นประธานาธิบดีของเวียตนามใต้ และกดดันให้กษัตริย์เบ๋าได๋ให้สละบัลลังค์ การปกครองในเวียตนามด้วยระบบกษัตริย์จึงสิ้นสุดลงนับแต่นั้น และโงดินเดียมห์ก็ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาให้เร่งสร้างกองทัพและสะสมอาวุธอย่างเต็มกำลัง จนประชาชนเวียตนามใต้ไม่พอใจในการกระทำของโงดินเดียมห์ คนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน ก็ถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี คนที่เหลือจึงรวมตัวกันตั้งแนวร่วมปลดปล่อย เรียกตัวเองว่า"เวียตกง"เพื่อร่วมกันต่อสู้กับรัฐบาลโงดินเดียมห์ต่อต้านอำนาจรัฐ
ส่วนทางเวียตนามเหนือเองก็ประท้วงการกระทำของเวียตนามใต้ของโงดินเดียมห์เช่นกัน ทำให้อเมริกายิ่งเพิ่มอาวุธเพื่อให้มาเข่นฆ่า เวียตนามเหนือจำเป็นต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากจีนและรัสเซีย และสงครามระหว่างเวียตนามเหนือและใต้ก็บังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปี 1960 สนามรบที่รุนแรงที่สุดของสงครามเวียตนาม จะอยู่ที่บริเวณเส้นขนานที่ 17 ซึ่งเป็นแนวตะเข็บชายแดนระหว่างเวียตนามเหนือและใต้ โดยเฉพาะเมืองกว๋างตรี และ กว๋างบินห์ จะถูกถล่มด้วยเครื่องบิน บี 52 อย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อกวาดล้างเวียตกงที่หลบหนีไปอาศัยอยู่ตามป่าเขาและถ้ำ และอเมริกายังโปรยสารเคมีที่ชาวเวียตนามเรียกว่า"ฝนเหลือง" เพื่อต้องการทำลายป่าให้โล่งเตียน
ระเบิดที่พบบริเวณใกล้ๆ อุโมงค์ |
นอกเหนือจากห้องเล็กๆ แคบๆ สำหรับหลบภัย ในอุโมงค์วินห์ม๊อคซึ่งมีความลึกประมาณ 28 เมตร ถูกแบ่งเป็น 3 ชั้น มีทั้งคอกเลี้ยงสัตว์ ห้องสุขา มีบ่อน้ำ ที่ซักล้าง ห้องเก็บสะสมอาวุธ ห้องประชุม และห้องพยาบาล ทั้ง 66 ครอบครัว ที่หลบภัยในอุโมงค์จะต้องช่วยเหลือกัน มีเด็กที่เกิดในอุโมงค์ 17 คน จะมีแม่เพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่ให้นมเด็กทุกคน เรียกกันว่าดื่มนมสามัคคี เนื่องจากแม่ส่วนที่เหลือต้องไปช่วยสะสมอาวุธหรือทำงานอื่น การขุดอุโมงค์จะกระทำในช่วงกลางวัน และนำดินไปทิ้งทะเลในช่วงกลางคืน เพื่อไม่ให้อเมริกาหาร่องรอยพบ
เหนืออุโมงค์ จะเป็นป่าไผ่ เพื่ออำพรางการตรวจตราของอเมริกา ไม่ให้เห็นปากอุโมงค์ ทำให้คนเวียตนามทั้ง 66 ครอบครัวนี้ สามารถอยู่ในอุโมงค์ได้อย่างปลอดภัยนานถึง 6 ปี
ประตูทางเข้าออกที่ 9 เป็นเส้นทางที่สามารถออกสู่ทะเลจีนใต้ เพื่อเป็นช่องทางหลบหนีหากถูกปิดจากช่องทางอื่น
เราออกจากอุโมงค์วินห์ม๊อคด้วยความหดหู่ใจ และดีใจที่ตนเองเกิดมาเป็นคนไทย อยู่ใต้ร่มพระบารมีในหลวง ไม่ต้องมีชีวิตลำเค็ญเหมือนคนเวียตนาม อยากให้พวกที่ชอบสร้างหมู่บ้านแบ่งสีลองมาอยู่ดูบ้าง อาจจะเลิกแบ่งแยกและหันกลับมารักสามัคคีกันก็เป็นได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.komkid.com/ และไกด์ชาวเวียตนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น