สวิสเซอร์แลนด์เป็นดินแดนที่ใครๆก็ฝันถึง ความสวยงามของสวิสเซอร์แลนด์ดึงดูดใจคนทั้งโลกและข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงได้หาโอกาสไปเยือนสวิสเซอร์แลนด์ในช่วงที่ผ่านมา
สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในยุโรปที่มีขนาดเนื้อที่เพียง 1/5 ของประเทศไทย เล็กมากทีเดียว ภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังจะเป็นเขตภูเขามากถึง 70% ของพื้นที่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนจึงเห็นแต่แนวเขาสลับซับซ้อนดูสวยงามจับใจ
ชื่อเสียงของประเทศนี้ที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือประเทศที่เป็นกลาง และเป็นประเทศที่มีความสงบสุข แต่กว่าสวิสเซอร์แลนด์จะเป็นเช่นในปัจจุบัน ก็ผ่านประวัติศาสตร์การต่อสู้แย่งชิงอำนาจมายาวนาน ไม่แพ้การต่อสู้ของบรรพชนในเอเซีย เพราะประเทศที่อยู่รอบล้อมสวิสเซอร์แลนด์คือเยอร์มัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย ที่ต่างก็เป็นเจ้ามหาอำนาจกันทั้งสิ้น สวิสเซอร์แลนด์จึงตกอยู่ภายใต้การครอบครองของมหาอำนาจฝ่ายนั้นบ้าง ฝ่ายนี้บ้าง สลับกันไปตามความแข็งแกร่งในอำนาจของแต่ละฝ่าย แต่ละยุค แต่ละสมัย จนถึงยุคที่มหาอำนาจต่างๆ ค่อยๆ ล่มสลาย จึงมีการตกลงกันให้สวิสเซอร์แลนด์เป็นดินแดนเป็นกลางที่ปลอดการต่อสู้ใดๆ เมื่อใครเหยียบดินแดนสวิสเซอร์แลนด์แล้วถือว่าจะปลอดภัย นั่นจึงเป็นจุดขายของประเทศนี้ที่ทำให้ใครๆก็อยากมาเยือนนอกเหนือจากความสวยงามของธรรมชาติ
การเที่ยวครั้งนี้เราไปกับคณะทัวร์ ซึ่งมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ยอดเขาจุงเฟรา ฉะนั้นเมืองแรกของการท่องเที่ยวจึงเป็นเมืองอินเทอร์ลาเก็น เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ 2 แห่งคือทะเลสาบทูน และทะเลสาบเบรียนซ์ และเป็นเมืองที่อยู่ใกล้จุงเฟรา มากที่สุด
เรามาถึงอินเทอร์ลาเก้นในช่วงค่ำ เมืองที่มีความสงบพอค่ำลงก็เงียบเหงา วันนั้นจึงพบแต่ความเงียบสงัดของเมืองอินเทอร์ลาเก็นที่เหมือนดั่งจะเป็นเมืองร้าง เกือบจะไม่พบผู้คนเดินบนท้องถนน อาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกเกือบ 0 องศาด้วยที่ทำให้คนส่วนใหญ่อยู่แต่ในบ้าน ร้านขายของต่างๆปิดเกือบหมด เพียงแต่เปิดไฟสว่างให้ผู้คนที่เดินไปมาเห็นสินค้าที่จำหน่ายเท่านั้น สภาพโดยทั่วไปเงียบเหงา
โรงแรมที่เราพักไม่มีอาหารเย็นจำหน่าย ฉะนั้นหลังจากที่พวกเรานำกระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมแล้ว ก็ต้องเดินฝ่าความหนาวเย็นยะเยือกไปทานอาหารยังร้านซึ่งไกด์นัดหมายไว้ในอีกมุมหนึ่งของถนน อาหารยุโรป เพียงแค่เห็นก็รู้สึกเลี่ยน จึงต้องดิ่มน้ำเปล่าประทังความหิว รอไปซื้อขนมปังตามร้านสดวกซื้อกินยังจะอร่อยเสียกว่า แต่ร้านนี้คงต้อนรับคนไทยบ่อยๆ เจ้าของร้านเอาใจคนไทยขนาดเอาธงชาติไทยมาโบกสะบัดต้อนรับพวกเรา นับว่ามีจิตวิทยาขั้นเทพทีเดียว คงพอชดเชยกับรสชาติอาหารอยู่ได้บ้าง
อากาศที่เมืองนี้หนาวเย็นทั้งปี โรงแรมที่พักจึงไม่มีแอร์ แต่ก็สามารถนอนได้อย่างไม่อึดอัด เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางแต่เช้าไปเมืองกรินเดอร์วาลด์ เพื่อขึ้นรถไฟไปยังยอดเขาจุงเฟรา ซึ่งมีความสูงถึง 3,454 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไปถึงสถานีจุงเฟรายอร์คซึ่งนับว่าเป็นสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป เรามีโอกาสได้ชมถ้ำน้ำแข็งและสัมผัสหิมะที่โปรยปรายดุจสายฝนบนเทือกเขาแอลป์
อุณหภูมิบนยอดเขาจุงเฟรา ประมาณ -8 องศา แม้จะหนาวยะเยือก แต่ความสวยงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างให้ สร้างความประทับใจให้เรามิใช่น้อย เราตื่นตาตื่นใจกับปุยหิมะที่โปรยปรายเหมือนสายฝนจนลืมความหนาวเย็นขนาด - 8 องศาไปได้ทีเดียว และรู้สึกสดชื่นกับการสูดอากาศบนเทือกเขาแอลป์เป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเส้นทางรถไฟขึ้นจุงเฟรา เราจะเห็นบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาอย่างต่อเนื่อง บางแห่งก็ปลูกติดกันเป็นกระจุกเหมือนกับเป็นหมู่บ้าน ดูน่าอยู่มากทีเดียว นี่ก็เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศของเขานั่นเองที่พื้นราบมีน้อย จึงใช้เป็นแหล่งธุรกิจเสียมากกว่า ส่วนการอยู่อาศัยก็ใช้ตามเนินเขากัน ทำให้ดูแล้วสวยงามแปลกตา
อาหารมื้อกลางวันบนยอดเขาจุงเฟรา นับเป็นอาหารมื้อที่วิเศษสุด บนเทือกเขาที่สูงเกือบสี่พันเมตรเช่นนี้กลับเป็นอาหารที่คุ้นปากคนไทย นั่นคือต้มมาม่ากับไก่ตุ๋น อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยทานมา เมื่อทานอาหารเสร็จคณะทัวร์ของเราก็ลงจากจุงเฟรา เดินทางต่อไปยังเมืองลูเซิร์น เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองหนึ่งของสวิสเซอร์แลนด์ ใครมาสวิสเซอร์แลนด์ไม่มีใครพลาดเมืองลูเซิร์นแน่นอน
อาหารมื้อกลางวันบนยอดเขาจุงเฟรา นับเป็นอาหารมื้อที่วิเศษสุด บนเทือกเขาที่สูงเกือบสี่พันเมตรเช่นนี้กลับเป็นอาหารที่คุ้นปากคนไทย นั่นคือต้มมาม่ากับไก่ตุ๋น อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยทานมา เมื่อทานอาหารเสร็จคณะทัวร์ของเราก็ลงจากจุงเฟรา เดินทางต่อไปยังเมืองลูเซิร์น เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองหนึ่งของสวิสเซอร์แลนด์ ใครมาสวิสเซอร์แลนด์ไม่มีใครพลาดเมืองลูเซิร์นแน่นอน
ลูเซิร์นเป็นเมืองตากอากาศที่สวยที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ และที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ของปวงชนชาวไทยเคยเสด็จมาเมืองนี้และประทับที่โรงแรม Grand Hotel National ซึ่งปัจจุบันยังเปิดกิจการอยู่ บรรยากาศเมืองนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ผู้คนคึกคักแต่ไม่วุ่นวาย และยังมีสถานที่ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้ชมหลายแห่ง เช่นที่อนุสาวรีย์สิงห์โตหินแกะสลักบนหน้าผา อันเป็นสัญญลักษณ์ที่เป็นการรำลึกถึงการเสียสละชีวิตของทหารกล้าชาวสวิสในสงครามปฏิวัติในฝรั่งเศส
สะพานไม้ชาเปล ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ทอดข้ามผ่านแม่น้ำรอยส์ อันเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองนี้ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเดินกันเบียดเสียดไปหมด นี่เป็นจุดขายแห่งหนึ่งของลูเซิร์น
ใกล้ๆแนวสะพานจะมีร้านค้าจำหน่ายสินค้ายอดนิยมหลากหลายชนิด ให้เลือกชมและซื้อหาได้มากมาย สินค้ายอดนิยม นอกเหนือจากนาฬิกาที่เป็นของแท้และต้นตำรับอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์แล้ว ดูเหมือนจะไม่พ้นดาร์คช๊อคโกแลตอันลือชื่อ
ที่เมืองลูเซิร์น แต่ละคนซื้อสินค้าติดมือมาได้ทุกคน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอำนาจกิเลศของแต่ละคน ได้เวลาพอสมควรเราก็เดินทางต่อไปยังกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และถือเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
การเดินทางด้วยรถบัสในยุโรปจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไว้มากหน่อย เพราะพนักงานขับรถเขาจะถือปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานในเรื่องของเวลาทำงานและเวลาพักอย่างเคร่งครัด ทุก 3 ชั่วโมงจะต้องให้เขาหยุดพัก เขาไม่สนใจว่าเราจะต้องการอย่างไร จะถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไร เขาเอาตัวเขาเป็นที่ตั้ง ทำให้วันนั้นคณะเรามาถึงกรุงเบิร์นเสียมืดค่ำ และตรงไปทานอาหารทันทีด้วยความหิวก่อนที่จะเข้าพักที่โรงแรมเมอร์เคียว
ที่กรุงเบิร์นมีสถานที่เที่ยวหลายแห่ง ส่วนใหญ่จะเป็นแนวสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถอยู่กรุงเบิร์นได้นานนัก เพียงหวังใจว่าหากมีโอกาสที่เหมาะสมจะต้องกลับมาชื่นชมความงามของกรุงเบิร์นอีกครั้งหนึ่ง ............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น