๔๔ ปีเศษมาแล้วที่เหตุการณ์นี้ไม่เคยลืมไปจากความทรงจำ เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่ริมหาดด้านหนึ่งของแม่น้ำมูลที่ชาวบ้านเรียกว่า"หาดวัดใต้" ......................
ในวันนั้นชาวค่ายอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากอำเภอน้ำยืน หลังจากได้ปฏิบัติภาระกิจที่โรงเรียนบ้านนาสามัคคีเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ได้แวะเล่นน้ำกันที่หาดแห่งนี้ เพื่อหวังชำระคราบไคลและฉลองความสำเร็จในงานค่าย....
แม่น้ำมูลในวันนั้น ไหลเอื่อย ๆ เงียบ สงบ น่าสัมผัส ชาวค่ายหลายสิบชีวิตพากันลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเลยว่า ภายใต้ผิวน้ำที่เงียบสงบ มีหลุมลึกอยู่ที่ก้นแม่น้ำนั้นอันเกิดจากการดูดทรายของชาวบ้าน เมื่อน้ำเกิดแรงกระเพื่อมจึงก่อให้เกิดน้ำวนและดูดทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง......มัจจุราชรออยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่มีลางสังหรณ์ใดที่จะเตือนเราว่า..ความสูญเสียกำลังจะเกิดขึ้น ...การก้าวลงน้ำของน้องตี๋ในวันนั้น...จึงเป็นการ...ก้าวจาก..พวกเราไป....ชั่วชีวิต....
ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์พอดี และคุณพ่อระพี สาคริก บิดาของชาวค่าย ได้เดินทางมาร่วมปิดค่ายกับพวกเราที่น้ำยืน พี่ประจิต อริยกุลกาญจน์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการค่าย จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงมุทิตาจิตรดน้ำดำหัวขอพรจากคุณพ่อ
เมื่อปล่อยให้พวกเราเล่นน้ำจนได้เวลาพอสมควรก็เรียกให้ขึ้นจากน้ำเพื่อทำพิธีรดน้ำดำหัว พวกเราทะยอยกันขึ้นมาเรื่อย ๆ จนคิดว่าน่าจะหมดแล้ว จึงเริ่มมีการนับจำนวนคน.....................
นับครั้งแรกขาดไป ๑ นับอีกครั้ง..ขาดไป ๑ นับอีกครั้งหนึ่ง..ขาดไป ๑ แต่ละรุ่นจึงเริ่มตรวจสอบสมาชิกในรุ่นของตนเอง และพบว่ารุ่น ๓๐ ขาดไป ๑ คน และคนนั้นคือ น้องตี๋ ธรรมศักดิ์ อัศวเพียรชอบ ........................
ตี๋เป็นคนเงียบและเรียบร้อย จึงมีการคาดเดากันว่า คงไปนั่งหลับอยู่ที่ใต้ต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง ทันทีๆคาดเดาเช่นนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตะโกนเรียกชื่อตี๋ จนดังไปทั่วคุ้งน้ำ....ไอ้ตี๋...น้องตี๋...ตี๋....แต่ทุกอย่างก็เงียบงัน..ไม่มีแม้เสียงกระซิบจากมัจจุราชว่า...ได้พรากชีวิตเขาไปแล้ว.......
เมื่อบนฝั่งไม่มี ..ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตี๋คงต้องจมน้ำแน่ๆ ..............พลันที่มีการคาดเดาเช่นนั้น แป๋ว..สมถวิล พาณิชยิ่ง ก็กระโจนลงน้ำเป็นคนแรก...และเพื่อน ๆ อีกหลายคนก็ทะยอยโดดตามลงไป ...สลับกันขึ้นมาหายใจและกลับลงไปงมหาอีก...ครั้งแล้วครั้งเล่า..แต่ก็ไม่มีวี่แววใด ๆ
ตะวันจวนเจียนจะลับขอบฟ้าแล้ว...ความมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามาแทนที่...เหมือนกับความกังวลใจที่คลืบคลานเข้ามาเกาะกินใจพวกเราทุกคน...ตี๋หายไปไหนกันแน่......ตี๋..เธออยู่ไหน..???????????
แล้วก็มีเสียงของพี่ยักษ์ สิทธิชัย ตะโดนฝ่าความเงียบขึ้นมาว่า ......เจอแล้ว เจอแล้ว !!!!!!!!!!!!!!!
พี่ยักษ์ สิทธิชัย เป็นคนนำร่างน้องตี๋ขึ้นจากน้ำ มาวางลงที่ริมฝั่ง และรีบผายปอดให้ทันที ...แต่ก็ไม่เป็นผล..จึงได้นำน้องตี๋ส่งโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์เพื่อให้หมอช่วยชีวิต.....
จำได้ว่าคุณพ่อระพี สาคริก ได้เข้าไปอ้อนวอนหมอเพื่อขอให้ช่วยชีวิตน้องตี๋อย่างสุดความสามารถ พวกเราชาวค่ายที่เหลือก็ได้ตามไปติด ๆ และพากันนั่งรอฟังข่าวอยู่บนพื้นถนนของโรงพยาบาลอย่างคนห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง...............
ความมืดปกคลุมไปโดยทั่ว แต่ก็ยังพอมีแสงจันทร์ที่ให้ความสว่างได้บ้างเพียงสลัว ๆ แต่ดวงจันทร์ที่เคยเหลืองอร่ามในคืนนั้นกลับมีสีแดงดุจสีเลือด......สาดแสงสีแดงอาบร่างพวกเราทุกคน....เหมือนดั่งจะส่งสัญญาณว่าต้องการชีวิตใครสักคน
การรอคอยในช่วงโพล้เพล้ของวันนั้น ช่างเป็นการรอคอยที่นานแสนนาน เหมือนดั่งจะมีความหวัง แต่ก็สิ้นหวังเมื่อพี่ประจิต ออกมาส่งข่าวว่า..ตี๋จากพวกเราไปแล้ว ! จากไปแล้ว..ชั่วชีวิต !!!
ความเงียบเข้ามาครอบคลุมในหัวใจของทุกคนที่รอคอยด้วยความหวัง เสียงสะอื้นดังอย่างแผ่วเบา..แต่กรีดลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ..เมื่อรับรู้ความจริงว่าต้องสูญเสียน้องรักของเราคนหนึ่งไปอย่างแน่นอน
จากกันไปแล้วเรา... ถึงคราวซึ่งเราต้องพราก..... จากกันไปหลายแหล่งแห่งหน
อกเจียนพังมลาย...เคราะห์กรรมใดมาดล...แสนเศร้ากมลต้องพรากจากกัน.......
..................................................................................................................
โอ้ครานี้เอย..ใครเลยหรือจะไม่เศร้า..น้ำตาเราแทบหลั่งรินไหล
จากกันไปแล้วเอย..โธ่เอยจากกันไกล..แสนเศร้าอาลัยต้องพรากจากกัน..........
คิดไม่ถึงว่า..เพลงที่ทุกคนร้องร่วมกันในวันอำลา...หน้ากองไฟก่อนปิดค่าย จะเป็นการลาจากกันจริงๆ...
ตี๋น้องรัก ..ไม่ว่าวิญญาณของเธอจะอยู่แห่งหนตำบลใด ขอได้โปรดรับรู้ว่า พวกเราชาวค่ายเกษตร ยังรำลึกถึงเธออยู่เสมอ..ไม่เคยลืม จึงได้มารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงเธอเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ.ริมแม่น้ำมูลแห่งนั้น..........
ขอบุญกุศลที่พวกเราได้กระทำมาทั้งหมด...จงส่งผลให้เธอพบแต่ความสุขสงบในสัมปรายภพ..ตลอดไป
ตี๋น้องรัก ..ไม่ว่าวิญญาณของเธอจะอยู่แห่งหนตำบลใด ขอได้โปรดรับรู้ว่า พวกเราชาวค่ายเกษตร ยังรำลึกถึงเธออยู่เสมอ..ไม่เคยลืม จึงได้มารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงเธอเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ.ริมแม่น้ำมูลแห่งนั้น..........
ขอบุญกุศลที่พวกเราได้กระทำมาทั้งหมด...จงส่งผลให้เธอพบแต่ความสุขสงบในสัมปรายภพ..ตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น