เพราะมีจุดทดสอบที่ทำให้พวกเราเกิดความชะงักนั่นก็คือ ..ข่าวแผ่นดินไหวที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อ 17 เมษายน 2555 โดยมีจุดศูนย์กลางที่ อ.ถลาง วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 3.2 ริกเตอร์ ตึกหลายแห่งรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหว จนประชาชนพากันออกจากตึกไปอยู่ที่โล่ง ......ข่าวนี้สร้างความกังวลต่อบรรดาหญิงชรากลุ่มนี้ไม่น้อยเลย มีเสียงรำพึงด้วยความกังวลจากหลายคนว่าจะเอาไงกันดี
แต่ในที่สุดเราก็เดินทางกันไปอย่างเสียไม่ได้และไม่มีจุดหมายใดแน่นอน เราเดินทางไปลงที่สนามบินตรังซึ่งเป็นเมืองของ อดีตนายกท่านชวน หลีกภัย ตัดสินใจพากันไปคารวะท่านในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง และถือโอกาสเยี่ยมเยือนพี่ระลึก หลีกภัย น้องชายท่านซึ่งเป็นรุ่นพี่คณะของพวกเรา แต่เมื่อไปถึงบ้าน เราไม่ได้พบทั้ง 2 ท่าน จึงได้ลงนามในสมุดเยี่ยม และถ่ายรูปในบ้านพักท่านเป็นที่ระลึกกันพอประมาณ ก่อนกลับออกมา เราโชคดีที่มีโอกาสได้โทรคุยกับพี่ระลึก และในที่สุดก็ได้รับการชักชวนให้ไปพบกันหน่อย พี่แกคิดถึงและอยากเห็นหน้าพวกเรา ไอ้พวกนี้มันแก่กันแค่ไหนแล้ว...
สายใยแห่งความผูกพันของรุ่นพี่ รุ่นน้อง ทำให้พวกเราตัดสินใจในทันทีว่า.......... ต้องไปพบพี่เขา !
พี่อยู่ไหน ? สอบถามเพื่อความแน่ใจ .
บ่อทราย ! !!!!!!!!
เอาละวา คราวนี้เริ่มสนุกแล้ว ! ฉันพอจะเดาออกถึงเส้นทางไปบ่อทราย มันไม่น่าจะต่างอะไรจากการเดินทางไปสำรวจทรัพย์เพื่อนำออกขายทอดตลาด อันเป็นงานหลักเดิมของฉัน และมั่นใจว่าในบรรดาเพื่อนชราที่ไปด้วยทั้งหมด ไม่มีใครคุ้นเคยกับการเดินทางอย่างสมบุกสมบันอย่างเส้นทางที่เรากำลังจะไปแน่นอน รถตู้ที่เช่าไว้ใช้ พาเราไปบนถนนเส้นเล็กๆ ที่แคบและคดเคี้ยว สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนปาล์มบ้าง สวนยางบ้าง น่ากลัวไม่น้อย ประมาณ 10 กม.เศษในที่สุดก็ไปถึงบ่อทรายนั้น...
พวกเราพบพี่ระลึกที่นั่น ภาพแรกที่เห็นคือ ชายร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อยืดสีฟ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ สวมหมวกสาน มีเชือกมัดที่ปลายคาง กำลังยืนสั่งการ เจรจากับคนโน้น คนนี้........ภาพที่เห็นนั้นไม่ต่างกับ พี่ระลึก ในอดีตตอนที่ออกค่ายอาสาสมัคร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็น ผอค.ค่ายอาสาสมัคร ที่เดินไปโน่นไปนี่เพื่อสั่งการคนโน้นคนนี้ ภาพนี้คือภาพแห่งอดีตโดยแท้ ภาพที่พี่ทำเป็นตัวอย่างให้น้อง ๆ เห็นถึงความเป็นคนหนักเอาเบาสู้ และเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อทำประโยชน์ให้กับสังคม....ทำให้เราอดหวนคิดถึงชีวิตค่าย...และคิดถึงกลอนบทหนึ่งที่พี่เขาประพันธ์ไว้ไม่ได้
ค่ายที่เห็นเป็นค่าย...ในวันนี้
เพราะเพื่อนพี่น้องร่วม..รวมจิตมั่น
ยึดศรัทธาอุดมการณ์..งานสำคัญ
เพื่อฝ่าฟันมั่นมุ่ง....ผดุงไทย
เข้าใจว่าการแต่งกลอนบทนี้ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่น้อง ๆ ที่เสียสละเวลาช่วงปิดเทอมมาทำงานค่ายอาสา แทนที่จะไปท่องเที่ยวเพื่อความสุขส่วนตัว พวกเรารู้สึกเหมือนเดินทางไปเข้าค่ายอาสาสมัครอีกครั้งหนึ่งจริง ๆ พี่เขาแสดงความดีใจที่เห็นพวกเรา แม้สังขารพวกเราจะเปลี่ยนไปมากอยู่ แต่ก็คงยังมีเค้าเดิมอยู่บ้าง จึงยังพอจำได้ในบางคน .............
คุณแมว ทิพาพรรณ แตงน้อย แห่งกสิกรไทย คือคนแรกที่จำได้ ด้วยเคยทำงานที่เดียวกันมาก่อน อีกทั้งเคยไปมาหาสู่กันตอนอยู่อเมริกา และยิ่งไปกว่านั้นคุณแมวในอดีตตอนเป็นนิสิต เธอมีท่าขี่จักรยานที่ไม่ซ้ำแบบใคร หน้าเชิด ไหล่ตั้ง ผมหน้าม้าปลิวไสวตามแรงลม เป็นภาพที่น่ารักอยู่ไม่น้อยทีเดียว จึงเป็นที่ฝังใจของบรรดาพี่ ๆ ทั้งหลาย
คนที่สอง คือคุณแวนด้า จงวัฒนา แห่งการบินไทย สมัยเป็นนิสิต แวนด้าเป็นดาวรุ่งที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ความโดดเด่นนอกจากจะอยู่ที่หน้าตาที่ออกแนวฝรั่งแล้ว การแต่งกายที่ทันสมัยเป๊ะ จึงเป็นที่สดุดตาของพี่ ๆ ซึ่งคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเราซึ่งเป็นรุ่นน้องโดยเฉพาะแวนด้ามี "กระโปรงสีดำตัวนั้น" ที่ทำให้รุ่นพี่หลายคนฝังใจ
คนสุดท้ายที่จำได้ คือตัวเรา ซึ่งเป็นน้องค่ายผู้หลงไหลในอุดมการณ์ของพี่เขานั่นแหละ ไม่มีสิ่งอื่นใดสดุดตาเลย แต่ก็ภูมิใจเป็นยิ่งนักที่พี่ระลึกยังจำได้ว่าส่ง แอน..นวล..อ๊อด..ไปทำงานที่ค่ายอุดร
เราคุยกันถึงความหลังครั้งอดีตในรั้วนนทรี ไม่ว่าจะกี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความสุขใจทั้งสิ้น จนเวลาผ่านไปพอสมควร จึงต้องอำลามาด้วยความอาวรณ์ พกเอาความภูมิใจในตัวพี่เก็บในความทรงจำ และไม่ปฏิเสธการรับเลี้ยงในมื้อเย็นด้วยความเต็มใจ แม้ภาพที่เห็นในตอนเย็น จะเปลี่ยนเป็นภาพของเสี่ยใหญ่คนหนึ่งก็ตาม
นี่คือโปรแกรมที่ยิ่งใหญ่ที่จังหวัดตรัง คืนนั้นเราพักค้างที่โรงแรมธรรมรินทร์ธนา โรงแรมเก่าที่อยู่ใจกลางเมือง สดวกสบาย อาหารอร่อยหลายอย่าง ในห้องพักสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของเมืองตรังได้อย่างชัดเจน
การท่องเที่ยวของเหล่าหญิงชราเช่นพวกเรา โปรแกรมที่ไม่เคยพลาดคือการนวด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่พ้นต้องไปนอนนวดที่นั่น ทริปครั้งนี้ก็เช่นกัน เห็นภาพแล้วคงไม่ต้องบรรยาย ว่าแต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขขนาดไหน
ในวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อออกเดินทางไปภูเก็ต และไม่ลืมที่จะแวะกินขนมจีนไก่ทอดร้านโกจ้อย ที่ตำบลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ตามคำแนะนำของคุณวินิจสามีคุณแมวว่า ต้องแวะกินให้ได้ ไม่เช่นนั้น ไม่ถือว่าถึงกระบี่ มีหรือที่เราจะไม่เชื่อฟังและก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ถึงภูเก็ตก็บ่ายโขแล้ว ภูเก็ตเป็นเมืองที่มีสิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองหลายแห่ง จึงเป็นเรื่องที่เราต้องไปเคารพสักการะให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไปได้เพียงบางจุดเท่านั้น
เราออกเดินทางจากภูเก็ตไปสุราษฎร์ โดยใช้เส้นทางผ่านเขาหลักเพื่อหวังชมภูมิสภาพหลังสึนามิ แวะถ่ายรูปกับเรือลำที่ถูกคลื่นซัดมาเกยตื้นบนฝั่ง อนุสาวรีย์แห่งความสูญเสียในอดีต
ด้านหลังไกลๆ คือเรือที่ถูกซัดขึ้นฝั่ง |
ปิดท้ายทริปครั้งนี้ ด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระธาตุไชยา และที่สวนโมกข์ไชยาเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดสิ่งดี ๆ ในชีวิตต่อไป
ชีวิตคนวัยหลังเกษียณ ที่ผ่านการตรากตรำงานหนักมายาวนาน คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การหาความสุขสงบ และสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต กับเพื่อนสนิทที่คิดดี และหวังดีต่อกัน ............. ทุก ๆ คนได้รับความสุขกันโดยถ้วนหน้าในครั้งนี้................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น