บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชีวิต..เลือกได้




ถ้าเปรียบระหว่างความสุขและความทุกข์  คงไม่มีใครที่จะเลือกความทุกข์  ทุกคนอยากได้ความสุขมาอยู่กับตัวเอง  แต่ชีวิตจริงของคนเรา ไม่มีชีวิตใดที่จะสุขตลอด  และไม่มีชีวิตใดที่จะทุกข์จนชั่วนิรันดร์ 

เพราะความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กัน  ทุกชีวิตจึงมีทั้งสุขและทุกข์เหมือนตะวันขึ้นและลับขอบฟ้า วนเวียนเช่นนี้ตามวัฏจักร์ชีวิตและหนทางที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง  ถ้าเราเข้าใจชีวิตเราก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข  โดยเฉพาะความสุขจากการเลือกหนทางชีวิตเอง

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปสัมผัสชีวิตของสามีภรรยาคู่หนึ่ง เมื่อครั้งไปพักผ่อนบ้านเพื่อนที่ชะอำ และใช้ชีวิตติดดิน ด้วยการสัมผัสชีวิตจริงของผู้คนที่หลากหลายในตลาดชะอำ 

ตลาดชะอำในเช้าวันนั้นคึกคักไปด้วยผู้ซื้อและผู้ขาย   เสน่ห์ของตลาดแห่งนี้เห็นจะเป็นเรื่องอัธยาศัยของคนท้องถิ่น  ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   ร้านค้าหลาย ๆ ร้านจึงแน่นไปด้วยผู้คนที่มา ซื้อบ้าง ชิมบ้าง ไม่มีการว่ากันเหมือนแม่ค้าในกรุงเทพ   หลาย ๆ ร้าน ทำอาหารรสชาดอร่อย  จึงทำให้พวกเราเพลิดเพลินไปกับการชิม  การซื้อ  หลาย ๆ เจ้า จนกระทั่งมาสะดุดตาอยู่ที่ร้านขายอาหารร้านหนึ่งที่ดูสะอาดสะอ้าน  มีอาหารหลายอย่าง ขายในราคาเพียงถุงละ 20.- บาท แม่ค้าหน้าตาดี  แต่งกายเรียบร้อย  เมื่อเริ่มพูดคุย ก็รับรู้ได้ถึงอัธยาศัย เราจึงติดใจชวนกันพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ  เกี่ยวกับเรื่องอาหาร


ร้านของเธอติดทีวี ให้ลูกค้าดูด้วย และเธอเลือกเปิดช่อง Nation  ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเธอ  เธอเล่าว่า เคยเป็นครูมาก่อน ความที่มีอาชีพครู ทำให้ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด เพื่อจะไปสอนคนอื่น เมื่อครั้งตัดสินใจมาขายอาหาร ทำไม่เป็นแม้กระทั่งการมัดถุง ซึ่งเป็นสิ่งที่มองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ   แต่ก็ทำไม่ถนัดจนต้องฝึกหัดจริงจัง  เพื่อหวังจะสอนคนอื่นด้วยตามวิสัยครู หาวิธีการของตัวเองจนสามารถทำได้คล่องแคล่วด้วยแบบฉบับเฉพาะตัว


พ่อแม่เป็นเกษตรกร ทำงานในโครงการพระราชดำริหุบกระพง  ความที่เป็นเด็กเรียนดี  จึงได้รับพระราชทานโอกาสจากในหลวง ให้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาจนจบ  หลังจากสำเร็จการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย  ก็มีโอกาสเข้าทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเอกชนดอนบอสโก และพบรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ในสถาบันเดียวกัน  ทั้งสองจึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงลาออกจากงานและมาประกอบกิจการเล็ก ๆ ส่วนตัว ทำอาหารขาย ตามประสพการณ์และเงินทุนที่มีอยู่


เธอเป็นแม่ค้าที่มีระดับทีเดียว  ลูกค้าทั้งหลายที่มาอุดหนุนซื้ออาหารของเธอ ไม่ทราบเลยว่าเธอมีความรู้ภาษาอังกฤษระดับเทพ  วันหนึ่งมีฝรั่งตาน้ำข้าว มาซื้ออาหารร้านเธอ  และวิจารณ์ในหลวงของเราอย่างผิด ๆ  เธอส่งภาษาตอบโต้กลับในทันทีโดยไม่สนใจว่าเขาจะซื้อหรือไม่  เพราะเธอเชื่อว่าไม่มีใครรู้จักในหลวงดีเท่ากับคนไทย  เธอจะไม่ยอมให้ใครกล่าวถึงในหลวงในทางที่ผิด ๆ


ข้าพเจ้าประทับใจในตัวเธอนัก  และเห็นว่าการกระทำของเธอถูกต้องเหมาะสม  เธอมีความเป็นคนไทยที่สมบูรณ์   เพราะมิใช่เพียงแต่ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตเท่านั้น เธอ ยังรัก หวงแหน และปกป้องสิ่งที่คนไทยทั้งชาติรักและเทิดทูน  เพียงการพูดคุย ก็รับรู้ได้ถึงแนวคิดรักชาติ  รักแผ่นดิน  และแนวการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง


ข้าพเจ้าคิดไปเองว่า  เธอเป็นคนที่มีการศึกษาสูงมากคนหนึ่งเมื่อเทียบกับคนในระดับท้องถิ่น อาชีพครูน่าจะมีความเหมาะสมกับเธอแล้ว  แต่เธอมีปัญหาอันใดหนอ ถึงได้ตัดใจละทิ้งอาชีพอันทรงเกียรติและหันมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเช่นนี้

แต่ที่ได้เห็นด้วยสายตาก็คือ  ความสุขในทุกอิริยาบทของการกระทำ สิ่งที่เห็นทำให้ข้าพเจ้าได้ข้อคิดว่า ความสุขมันมีอยู่ทุกแห่งหนจริง ๆ  มิใช่เรื่องที่จะหาได้ยากเลยแม้แต่น้อย  เพราะความสุขมันเกิดจากใจที่ยอมรับในสิ่งที่เป็น  และพอใจในสิ่งที่เลือก

เธออาจจะเคยได้รับความทุกข์มาบ้างในชีวิต  แต่ทุกข์และสุขเป็นของคู่กัน ไม่มีใครเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้  เมื่อเราพอใจในความเรียบง่าย และเลือกที่จะเดินในเส้นทางที่เรียบง่ายโดยยึดความพอเพียงเป็นที่ตั้ง  เราก็สามารถมีความสุขได้ในหนทางที่เลือกนั้น

เพราะชีวิตเรา..เลือกได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น