ถ้าเปรียบระหว่างความสุขและความทุกข์ คงไม่มีใครที่จะเลือกความทุกข์ ทุกคนอยากได้ความสุขมาอยู่กับตัวเอง แต่ชีวิตจริงของคนเรา ไม่มีชีวิตใดที่จะสุขตลอด และไม่มีชีวิตใดที่จะทุกข์จนชั่วนิรันดร์
เพราะความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กัน ทุกชีวิตจึงมีทั้งสุขและทุกข์เหมือนตะวันขึ้นและลับขอบฟ้า วนเวียนเช่นนี้ตามวัฏจักร์ชีวิตและหนทางที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง ถ้าเราเข้าใจชีวิตเราก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะความสุขจากการเลือกหนทางชีวิตเอง
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปสัมผัสชีวิตของสามีภรรยาคู่หนึ่ง เมื่อครั้งไปพักผ่อนบ้านเพื่อนที่ชะอำ และใช้ชีวิตติดดิน ด้วยการสัมผัสชีวิตจริงของผู้คนที่หลากหลายในตลาดชะอำ
ตลาดชะอำในเช้าวันนั้นคึกคักไปด้วยผู้ซื้อและผู้ขาย เสน่ห์ของตลาดแห่งนี้เห็นจะเป็นเรื่องอัธยาศัยของคนท้องถิ่น ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร้านค้าหลาย ๆ ร้านจึงแน่นไปด้วยผู้คนที่มา ซื้อบ้าง ชิมบ้าง ไม่มีการว่ากันเหมือนแม่ค้าในกรุงเทพ หลาย ๆ ร้าน ทำอาหารรสชาดอร่อย จึงทำให้พวกเราเพลิดเพลินไปกับการชิม การซื้อ หลาย ๆ เจ้า จนกระทั่งมาสะดุดตาอยู่ที่ร้านขายอาหารร้านหนึ่งที่ดูสะอาดสะอ้าน มีอาหารหลายอย่าง ขายในราคาเพียงถุงละ 20.- บาท แม่ค้าหน้าตาดี แต่งกายเรียบร้อย เมื่อเริ่มพูดคุย ก็รับรู้ได้ถึงอัธยาศัย เราจึงติดใจชวนกันพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหาร
ร้านของเธอติดทีวี ให้ลูกค้าดูด้วย และเธอเลือกเปิดช่อง Nation ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเธอ เธอเล่าว่า เคยเป็นครูมาก่อน ความที่มีอาชีพครู ทำให้ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด เพื่อจะไปสอนคนอื่น เมื่อครั้งตัดสินใจมาขายอาหาร ทำไม่เป็นแม้กระทั่งการมัดถุง ซึ่งเป็นสิ่งที่มองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ก็ทำไม่ถนัดจนต้องฝึกหัดจริงจัง เพื่อหวังจะสอนคนอื่นด้วยตามวิสัยครู หาวิธีการของตัวเองจนสามารถทำได้คล่องแคล่วด้วยแบบฉบับเฉพาะตัว
พ่อแม่เป็นเกษตรกร ทำงานในโครงการพระราชดำริหุบกระพง ความที่เป็นเด็กเรียนดี จึงได้รับพระราชทานโอกาสจากในหลวง ให้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาจนจบ หลังจากสำเร็จการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ก็มีโอกาสเข้าทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเอกชนดอนบอสโก และพบรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ในสถาบันเดียวกัน ทั้งสองจึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงลาออกจากงานและมาประกอบกิจการเล็ก ๆ ส่วนตัว ทำอาหารขาย ตามประสพการณ์และเงินทุนที่มีอยู่
เธอเป็นแม่ค้าที่มีระดับทีเดียว ลูกค้าทั้งหลายที่มาอุดหนุนซื้ออาหารของเธอ ไม่ทราบเลยว่าเธอมีความรู้ภาษาอังกฤษระดับเทพ วันหนึ่งมีฝรั่งตาน้ำข้าว มาซื้ออาหารร้านเธอ และวิจารณ์ในหลวงของเราอย่างผิด ๆ เธอส่งภาษาตอบโต้กลับในทันทีโดยไม่สนใจว่าเขาจะซื้อหรือไม่ เพราะเธอเชื่อว่าไม่มีใครรู้จักในหลวงดีเท่ากับคนไทย เธอจะไม่ยอมให้ใครกล่าวถึงในหลวงในทางที่ผิด ๆ
ข้าพเจ้าประทับใจในตัวเธอนัก และเห็นว่าการกระทำของเธอถูกต้องเหมาะสม เธอมีความเป็นคนไทยที่สมบูรณ์ เพราะมิใช่เพียงแต่ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตเท่านั้น เธอ ยังรัก หวงแหน และปกป้องสิ่งที่คนไทยทั้งชาติรักและเทิดทูน เพียงการพูดคุย ก็รับรู้ได้ถึงแนวคิดรักชาติ รักแผ่นดิน และแนวการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง
ข้าพเจ้าคิดไปเองว่า เธอเป็นคนที่มีการศึกษาสูงมากคนหนึ่งเมื่อเทียบกับคนในระดับท้องถิ่น อาชีพครูน่าจะมีความเหมาะสมกับเธอแล้ว แต่เธอมีปัญหาอันใดหนอ ถึงได้ตัดใจละทิ้งอาชีพอันทรงเกียรติและหันมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเช่นนี้
แต่ที่ได้เห็นด้วยสายตาก็คือ ความสุขในทุกอิริยาบทของการกระทำ สิ่งที่เห็นทำให้ข้าพเจ้าได้ข้อคิดว่า ความสุขมันมีอยู่ทุกแห่งหนจริง ๆ มิใช่เรื่องที่จะหาได้ยากเลยแม้แต่น้อย เพราะความสุขมันเกิดจากใจที่ยอมรับในสิ่งที่เป็น และพอใจในสิ่งที่เลือก
เธออาจจะเคยได้รับความทุกข์มาบ้างในชีวิต แต่ทุกข์และสุขเป็นของคู่กัน ไม่มีใครเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เมื่อเราพอใจในความเรียบง่าย และเลือกที่จะเดินในเส้นทางที่เรียบง่ายโดยยึดความพอเพียงเป็นที่ตั้ง เราก็สามารถมีความสุขได้ในหนทางที่เลือกนั้น
เพราะชีวิตเรา..เลือกได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น