บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชมทะเลหมอกที่พะเนินทุ่ง






ถ้าพูดถึงคำว่า "พะเนินทุ่ง" ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จัก  แต่คงจะต้องร้องอ๋อ หากรู้ว่าเขาพะเนินทุ่ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ใกล้ ๆ กรุงเทพนี่เอง



เขาพะเนินทุ่ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน  อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 50 เมตร  เป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้สูงมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ต้นไม้ขึ้นเขียวขจีไปทั่วหุบเขา  จึงเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก  คนที่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่นี่ ไม่มีใครที่จะไม่ชื่นชอบ ไกลไปจากนี้ไม่มากนักจะเป็นเทือกเขาตะนาวศรี ที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยและพม่า


ข้าพเจ้าและเพื่อน สว. มีโอกาสได้ไปเที่ยวพะเนินทุ่งเมื่อเดือน มกราคม 2556  ที่ผ่านมา ด้วยความเอื้อเฟื้อของคุณนายเบญจวรรณ สนธิสุข ที่ขอให้น้องทหารรับภาระจัดการในเรื่องการจองที่พัก และนำรถมารับพวกเราขึ้นเขา  เรามีโอกาสได้พักที่เพชรวารินทร์รีสอร์ท  รีสอร์ทธรรมชาติที่มีบ้านพักแบบทรงไทยทั้งหมด ที่ดูร่มรื่นสบายตา ดึงดูดใจผู้มาเยือนโดยเฉพาะเป็นที่ชื่นชอบของชาวช่างชาติ



ออกจากกรุงเทพ ก็แวะเวียนชิมอาหารมาตามรายทาง รวมทั้งแวะสูดอากาศบริสุทธิ์ที่บริเวณเหนือเขื่อนแก่งกระจานซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวดังของเมืองเพชรอีกแห่งหนึ่ง กว่าจะถึงรีสอร์ทก็บ่ายคล้อย







รีสอร์ทแนะนำให้พวกเรานั่งเรือยางล่องแม่น้ำเพชรชมธรรมชาติ   พวกเราไหนเลยที่จะปฏิเสธได้ โดยเฉพาะข้าพเจ้าซึ่งเกิดมาจนอายุปูนนี้ไม่เคยล่องแม่น้ำเพชรเลยแม้เพียงสักครั้ง  ทั้ง ๆ ที่ลำน้ำแห่งนี้เป็นลำน้ำประวัติศาสตร์ ที่คนเมืองเพชรทั้งหลายภาคภูมิใจว่า  พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 6  ชื่นชมว่า น้ำเพชรมีรสชาดดีกว่าลำน้ำอื่น ๆ  จนต้องมีการตักน้ำจากลำน้ำเพชรที่ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ นำส่งวังหลวงเป็นประจำทุกเดือน เนิ่นนานมาถึง 3 รัชกาล



รีสอร์ทเป็นผู้ติดต่อรถกะบะให้มารับคณะเรา ไปส่งที่ต้นแม่น้ำเพชร  นับเป็นการท่องเที่ยวที่สมบุกสมบันมากสำหรับเหล่าหญิงชราอายุเกิน 60  ที่ต้องกระโดดขึ้นไปนั่งกับพื้นรถกะบะด้านหลังเพื่อไปนั่งเรือยาง พวกเรานั่งเรือยางจากจุดนั้น  ล่องเรื่อยมาจนถึงท่าน้ำของรีสอร์ทเพชรวารินทร์ที่พัก  ตลอดสองฝั่งน้ำมีโอกาสพบเห็นต้นไม้ป่าหลากหลายชนิดที่ขึ้นปกคลุมป่าตลอดแนว  บางต้นสูงใหญ่น่าเกรงขาม บางต้นออกดอกสีชมพูสวยงาม   มีนกหลากหลายพันธ์ที่มีสีสรรค์งดงามมาเคล้าเคลีย  เพลิดเพลินเสมือนหนึ่งพายเรือล่องแดนสวรรค์  เป็นอีกรสชาดหนึ่งของการท่องเที่ยวในครั้งนี้  มิหนำซ้ำระหว่างล่องเรือ สว.ชุดนี้ยังช่วยพายเรือและมีอารมณ์เห่เรือกันอย่างสนุกสนาน







มาถึงรีสอร์ทก็เย็นพอดี  อาหารเย็นถูกจัดเตรียมรับเราที่เรือนทองหลาง เรือนไม้ทรงไทยให้บรรยากาศย้อนยุคสำหรับอาหารเย็นมื้อนั้นได้เป็นอย่างดี  กับอาหารพื้นบ้านแบบไทย ๆ  พวกเรารับประทานกันจนอิ่มหนำ จึงแยกย้ายกันพักผ่อนออมแรงไว้ขึ้นเขาพะเนินทุ่งวันรุ่งขึ้น  ซึ่งจะต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง นั่นหมายถึงพวกเราจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเป็นอย่างช้า


รถกะบะที่น้องทหารจัดเตรียมให้เรา  มารับตรงเวลา  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากที่พักจึงจะไปถึงพะเนินทุ่งเวลาประมาณ 7 โมงครึ่ง เพื่อให้ทันเห็นทะเลหมอก  ระหว่างออกเดินทางซึ่งยังมืดอยู่จึงค่อนข้างน่ากลัว  รถต้องวิ่งผ่านป่าเขาซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า  ได้แต่ภาวนาขออนุญาติจ้าวป่าจ้าวเขา เพื่อขอผ่านทางไปยังจุดหมาย และให้ปกป้องคุ้มครองพวกเราตลอดการเดินทางไปและกลับ  ในที่สุด พวกเราก็เดินทางมาถึงแค้มป์บ้านกร่าง ซึ่งอยู่ก่อนทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง





ไปถึงจุดนั้น ก็เริ่มมีแสงสว่างรำไรแล้ว คณะเราเป็น สว. เกิน 60  ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมด  เสียเฉพาะค่านำรถเข้าเพียง 30.-บาทเท่านั้น นี่ก็เป็นข้อดีอย่างยิ่งสำหรับพวกแก่แต่ชอบเที่ยวอย่างเรา  ได้รับการยกเว้นตลอด  จัดได้ว่าความแก่มิใช่มีแต่เรื่องแย่เสมอไป 

ออกจากแค้มป์บ้านกร่างก็เริ่มเป็นทางขึ้นเขา ซึ่งแคบและคดเคี้ยว รถวิ่งได้คันเดียว สวนกันไม่ได้ ฉะนั้นการขึ้นพะเนินทุ่งจึงมีเวลาขึ้น เวลาลง ที่ชัดเจน 





เส้นทางช่วงขึ้นเขา แม้จะแคบและคดเคี้ยว แต่ธรรมชาติ 2 ข้างทางที่เต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ป่าหลากหลายชนิด  และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหมอกทึบ  ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการเดินทางในครั้งนี้ อย่างมาก สามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ที่อยู่รอบ ๆ เข้าปอด โดยไม่มีมลพิษมาเป็นอุปสรรคและเย็นสบายไม่แพ้อากาศทางภาคเหนือ


ไปถึงพะเนินทุ่ง ซึ่งอยู่ กม.ที่ 30  ทันเวลาที่จะเห็นทะเลหมอก  แต่เจ้ากรรมอากาศวันนั้น มีลมพัดแรงมากอย่างกระทันหันลมพัดจนหมอกกระจายไปทั่ว มองไม่เห็นเป็นทะเลเช่นเวลาที่ลมสงบ  ลมที่พัดแรงนี่กระมัง ที่เป็นเหตุให้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก ตกที่บริเวณใกล้ ๆ นี้ลำแล้วลำเล่าในช่วงที่ผ่านมาความแปรปรวนของธรรมชาติเป็นเรื่องที่มิอาจมีใครบังคับได้













รีสอร์ทจัดอาหารกล่องให้พวกเรา มาทานบนพะเนินทุ่ง  เมื่อไม่เห็นทะเลหมอกพวกเราจึงใช้เวลามารับประทานอาหารกันแทน  มื้อเช้าวันนั้นจึงแสนโรแมนติค เพราะได้ทานอาหารเช้าท่ามกลางสายหมอกและลมที่เย็นสบายเป็นที่สนุกสนานจนได้เวลาลงจากเขา ระหว่างการเดินทางลงนั้นเราโชคดีที่มีโอกาสพบชะนีป่า บริเวณแค้มป์บ้านกร่าง นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนกับจะรอส่งแขกผู้มาเยือน










ก่อนเดินทางกลับ คณะเรามีโอกาสได้ไปแวะชมโครงการ "ชั่งหัวมัน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านได้ไปขอซื้อที่ดินจากชาวบ้านหลายคนรวม 250 ไร่เมื่อปลายปี 51 - 52  เพื่อมาทำเป็นโครงการทดลองปลูกพืชผสมผสาน เป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านใช้เป็นแนวทางนำไปปฏิบัติ นับเป็นโอกาสดีที่ได้มาเยี่ยมชม และเป็นโชคดีของชาวบ้านที่มีพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่าง










ในโครงการนี้ปลูกพืช ผัก ผลไม้ หลากหลายชนิด นับตั้งแต่ มะนาว ชมพู่ มะยงชิด มันเทศ  มันฝรั่ง ยางพารา นาข้าว มะพร้าว สับปะรด แก้วมังกร เห็ดหลินจือ เห็ดภูฐาน และยางนา มีหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ  ร่วมมือกันพัฒนาตามแนวทางของพระองค์ท่าน   สมเด็จพระเทพ ฯ ก็ได้มาซื้อที่ดินที่อยู่ต่อเนื่องกันเพิ่มเติม  และทำโครงการในลักษณะเดียวกัน



เมื่อได้สอบถามถึงที่มาของชื่อโครงการนี้  เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่า  วันหนึ่งมีผู้นำมันเทศไปถวายในหลวงที่วังไกลกังวล  ส่วนหนึ่งท่านให้นำไปปรุงทาน  อีกส่วนหนึ่งวางไว้ใกล้ตาชั่ง ต่อมาปรากฏว่าส่วนหลังนี้เจริญงอกงาม ออกราก ออกใบ  จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ให้พระองค์ท่านพระราชทานชื่อ "ชั่งหัวมัน" เป็นชื่อของโครงการนี้ พระองค์ท่านทรงปรารภว่า "มันอยู่ที่ไหน ก็งอกได้"  


คำปรารภของพระองค์ท่าน น่าจะมีนัยยะอื่นแฝงอีกหลายอย่าง  เมื่อมันอยู่ที่ไหนก็งอกได้  นั่นย่อมหมายถึง คนทำดีอยู่ที่ไหนก็ดีอยู่วันยังค่ำ  คนทำความดีอยู่ที่ไหน ความดีก็ย่อมส่องสว่างและเป็นเกราะคุ้มกันภัยได้........



ไม่มีใครที่จะโชคดีเท่ากับการเกิดมาเป็นคนไทย ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่านอีกแล้ว  การเดินทางไปชมทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่งในครั้งนี้  ได้รับสิ่งที่มีค่ามาเป็นรางวัล จึงนับว่าโชคดีเป็นยิ่งนัก... 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น