บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ท่านรองวิระ รมยะรูป..ดอกบัวที่ไม่มีวันโรย



หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิง ท่านรองวิระ รมยะรูป
 
เมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม 2555 ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิง อดีตท่านกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ (ท่านวิระ รมยะรูป)  ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพ ฯ ซึ่งมีพระคุณต่อข้าพเจ้าท่านหนึ่ง ที่ได้เคยอบรมปลูกฝังแนวคิด คุณธรรมในการปฏิบัติงานแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพนักงานชั้นผู้น้อยของฝ่ายประนอมหนี้  ตลอดเวลาที่ทำงานจนกระทั่งเกษียณอายุจากธนาคาร ข้าพเจ้าไม่เคยลืมเลือนคำอบรมสั่งสอนของท่านเลยแม้แต่น้อย เพราะคุณธรรมที่ได้รับการปลูกฝังจากท่าน ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย  เมื่อข้าพเจ้าเกษียณอายุ จึงได้ถ่ายทอดไว้ในหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียนแจกน้อง ๆ เป็นที่ระลึกตอนเกษียณ  ด้วยหวังว่าจะให้น้อง ๆ  รุ่นหลัง ๆ ได้สานต่อคุณธรรม  ในวันนี้ข้าพเจ้าพบบทความดังกล่าวในหนังสือที่แจกเป็นที่ระลึกต่อแขกเหรื่อที่มาในงานพระราชทานเพลิงท่าน  มิเพียงภูมิใจที่มีส่วนร่วมในหนังสือดังกล่าว  แต่ดีใจที่มีโอกาสได้บอกเล่าคุณธรรมของท่านในวงกว้าง จึงต้องขอขอบพระคุณท่านผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (คุณอภิชาติ รมยะรูป) และขอนำบทความดังกล่าวมาแสดงใน blog  นี้อีกครั้งหนึ่ง


วันที่ถูกปลูกฝังคุณธรรม :




บทความข้าพเจ้าเอง
       
                          สมัยอดีตที่พี่เพิ่งเข้ามาอยู่ที่ฝ่ายประนอมหนี้ไม่นานนัก  ขณะนั้นยังเป็นพนักงานชั้นผู้น้อย เคยถูกท่านกรรมการรองฯ (ท่านวิระ รมยะรูป) เชิญพบในวันหนึ่ง  สืบเนื่องจากงานเกี่ยวกับการรับประนอมหนี้ของลูกหนี้ ถูกเสนอไปตามลำดับสายงาน และไปถึงท่านเพื่อพิจารณาอนุมัติ  แนวทางที่ได้นำเสนอคงจะไม่สมเหตุสมผล  คงจะไร้คุณภาพอยู่มากทีเดียว ท่านจึงเรียกอบรม   เพื่อให้แง่คิดในการทำงาน
                  ท่านกล่าวกับพี่อย่างผู้ใหญ่ใจดี ……………
                 ต้นไม้ที่สูงใหญ่  นะหนู  ถ้าเราตัดจนเหลือแต่ตอ  นับวันจะมีแต่แห้งเหี่ยวตาย  หากเราเด็ดเพียงกิ่งก้าน ไม่ช้านานเขาก็จะผลิดอกออกผลให้เราเก็บกิน  ฉันใดก็ฉันนั้น  ลูกค้าของเราก็เช่นกัน..
                  พี่ตะลึง  เมื่อได้ยินเช่นนั้นและรู้สึกละอายใจต่อผลงานของตัวเองเป็นยิ่งนัก   รู้ได้โดยพลันว่าท่านกำลังสอนให้เรามีคุณธรรม  สอนให้เรารู้ว่า ลูกค้าคือต้นไม้ที่เราต้องคอยดูแล  คราใดที่ต้นไม้นี้มีปัญหาหากเราฟันทิ้งจนสิ้นซาก  ต้นไม้นั้นคงไม่พ้นต้องตายแน่ ๆ  แต่หากเราเพียงเด็ดกิ่งก้านที่มีปัญหา  ถนอมลำต้นไว้  ไม่ช้า...ต้นไม้นั้นก็จะเจริญเติบโต  สร้างผลกำไร ให้เราได้ต่อไปอีก 
                   ลูกค้าที่มีปัญหาในการดำเนินธุรกิจ กำลังความ สามารถในการชำระหนี้ย่อมมีอยู่จำกัด  หากเจ้าหนี้มุ่งจะเรียกคืนทุกบาททุกสตางค์  ใช่ว่าลูกหนี้จะสามารถชำระได้   คนที่ตีบตันในหนทาง  เหมือนกับตายไปแล้วครึ่งตัว  หากผ่อนปรนกันบ้างตามสมควร ให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสหายใจ  เหลือทุนไว้ต่อชีวิตเพื่อมีโอกาสจะฟื้นตัวได้ใหม่ ไม่ช้าไม่นาน  ลูกหนี้ก็จะกลับมาเป็นลูกค้าของเราใหม่ได้อีกครั้ง
                  พี่ภูมิใจในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง  มิน่าเล่าธนาคารของเราจึงเจริญเติบใหญ่ และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน  เพราะเรามีผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม พี่รู้สึกขอบคุณในใจและดีใจที่มีโอกาสได้รับการอบรมจากท่าน ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้  
                  นับแต่นั้นมา  ก็ได้ยึดเอาสิ่งที่ได้รับการปลูกฝัง  มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน   การยึดมั่นในคุณธรรมทำให้เราทำงานด้วยความสุข   การเจรจาประนอมหนี้รายแล้วรายเล่าที่จบลง  อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล  และการยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้  เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า   หากเจ้าหนี้มีคุณธรรม และลูกหนี้มีคุณธรรม  เราก็จะพากันเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง….
                  นี่เองกระมังที่มีคนพูดว่า ...คุณธรรม..ค้ำจุนโลก  พี่อาจจะไม่มีโอกาส ได้บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับพวกเราฟังทุกคน  จึงขอถือโอกาสนี้  ฝากคำสอนของท่านรองวิระ  ไว้กับพวกเราด้วย และเชื่อว่าทุกคนสามารถยึดคำสอนของท่านเป็นแนวในการปฏิบัติงานได้เช่นเดียวกับที่พี่ยึดถือ.....
                  ขอให้ทุกคนยึดมั่น ในหลักคุณธรรมในการทำงานด้วย..นะคะ


และนอกเหนือจากบทความข้างต้นแล้ว  ยังมีอีกบทความหนึ่งที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วกินใจมากเหลือเกิน  น้องแพ้ท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม  หลานตาของท่านรองวิระ  เป็นผู้เขียนบทความนี้ไว้อย่างน่าประทับใจ  ข้าพเจ้าขออนุญาตินำบทความนั้น ลงใน blog  นี้เพื่อหวังว่าผู้ที่มิได้ไปร่วมงาน แต่เข้ามาอ่านใน blog นี้ จะได้รับประโยชน์จากบทความนี้แน่นอน



แด่คุณตาของผม "วิระ รมยะรูป"



บทความน้องแพ้ท

                เมื่อคืนวันที่ 1 มีนาคม 2555 คุณแม่โทรมาบอกว่า "แพ้ท !! คุณตาท่านเสียแล้ว"

                ผมก็รู้สึกใจหายอย่างมาก เพราะคุณตาเป็นเสมือนต้นแบบ ที่สอนให้ผมเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างทั้งในเรื่องของการงาน และมุมมองการใช้ชีวิต

                คุณตาผม (วิระ รมยะรูป) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการธนาคารของประเทศไทย ตั้งแต่ในสมัย คุณชิน โสภณพนิช...ท่านเป็นผู้จัดการสาขาแรกของธนาคารกรุงเทพ  แล้วร่วมบุกเบิกจนวันนี้ ธนาคารกรุงเทพ ได้กลายเป็นธนาคารที่ยิ่งใหญ่ ระดับโลก..."เรื่องราวการเดินทางของคุณตา มันได้จุดประกายให้ผมเห็นว่า...ความยิ่งใหญ่ของคน ๆ นึง มันสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ และยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้ ตราบเท่าที่เขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ" (ก่อนที่คุณตาผมจะป่วยเมื่ออายุ 90 กว่า ท่านทำงานจนถึงวันสุดท้าย...จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า จะทำอะไรให้สำเร็จได้ เราต้องรักในสิ่งนั้น และนั่นแหละคือ ชีวิตทั้งหมดของเรา !!).... ถูกต้อง บทเรียนชีวิตของคุณตา สอนให้ผมรู้ว่า สิ่งสำคัญที่สุด  ในชีวิตของลูกผู้ชายคนนึง  จะประสพความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับ " ความอดทน และความกล้าที่จะเดินตามฝันของตัวเอง"

                "ชีวิตคือความเสี่ยง แต่มันจะยิ่งเสี่ยง หากเราไม่กล้าที่จะเสี่ยง"   .....คุณตาผม ลาออกจากแบงค์ชาติในขณะที่ตัวเองเป็นดาวรุ่งในสมัยนั้น  แล้วมาร่วมบุกเบิกธนาคารเล็ก ๆ ในขณะนั้น ที่ชื่อว่า ธนาคารกรุงเทพ....มันคงเป็นอะไรที่ตลกมาก หากคุณมีงานที่มั่นคงในองค์กรที่ใหญ่ระดับประเทศ แต่คุณเลือกมาทำงานกับองค์กรเล็ก ๆ  ที่ไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ....."นั่นแหละ  ที่ผมมองว่าเป็นการเดินทางของผู้กล้า"

                ชีวิตคงเป็นอะไรที่ง่ายน่าดู  หากเราเลือกทางเดินที่มันแสนจะปลอดภัย และก็ไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย เหมือนที่คนส่วนใหญ่ในโลกเขาคิดและทำตาม ๆ กัน...."ถูกต้อง!!  มันง่ายที่จะทำ  ทำตามคนอื่น และทำเหมือนคนอื่น...และผลลัพท์ก็คงเหมือนกับคนอื่นทั่ว ๆ ไป"

                สิ่งที่คุณตาสอนเสมอคือ "ให้".......องค์กรระดับสองหมื่นกว่าคน  ที่ใหญ่ระดับประเทศอย่างธนาคารกรุงเทพ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างให้ประสพความสำเร็จหากคน ๆ นึงคิดจะ One Man Show มันคงเป็นจำอวดที่น่าสมเพช และเป็นกับดักของคนเก่งที่คิดจะเก่ง และทำทุกอย่างด้วยตนเอง....คุณตา สอนให้ผมรู้ว่า  การสร้างอะไรก็ตาม มันขึ้นอยู่ที่ "สร้างคน".....หัวหน้าจะโตได้ลูกน้องต้องเก่ง...และคนเก่งจะมาเป็นลูกน้องคุณได้ ไม่ใช่คุณต้องเก่งกว่า  แต่คุณต้องมี ในสิ่งที่เขาไม่มี  นั่นคือ "การให้  และ ความเมตตา"......เวทีในการแสดงโอกาสของชีวิตจริง  มันไม่ได้มีเพียงพอให้คนเก่งทุก ๆ คน ได้แสดงฝีมือหรอก  ดังนั้น "ผู้ให้" จึงเป็นศูนย์รวมแห่งโอกาสและคนเก่ง.....คุณตาผมมุ่งสร้างและให้โอกาสคน และนั่นก็คือ บารมีและอำนาจ  ที่คนเก่งเขาตอบกลับมา

                "รวงข้าว ยิ่งสุกและสมบูรณ์ มันจะยิ่งงองุ้มลงมา"    เปรียบเสมือนคนที่ยิ่งใหญ่ จะยิ่งอ่อนน้อม (ผิดกับคนที่ไม่มีอะไร  ก็จะกร่าง และพยายามเบ่งตัวเอง  เสมือนคางคก)...........นั้นก็เป็นสิ่งที่เตือนสติผมเสมอ  ในเส้นทางที่เดินว่า การที่คน ๆ นึง จะสำเร็จและยิ่งใหญ่ได้ " เราต้องสร้างคนที่รายล้อมเรา ให้สำเร็จและยิ่งใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน...นั่นถึงจะเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืนและยาวนาน"

                ตอนช่วงที่คุณตา  นอนอยู่โรงพยาบาล   ก็จะท่องกลอนสอนลูก ๆ หลาน ๆ ให้รู้จักประมาณตน ซึ่งผมท่องจนขึ้นใจ

                " อันที่จริง              เขาอยากให้เราดี
       แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกที           น่าหมั่นไส้
       จงทำดีอย่าทำเด่น          จะเป็นภัย
       ไม่มีใครเขาอยากเห็น     เราเด่นเกิน"

แด่  ผู้ยิ่งใหญ่ ตลอดกาล สำหรับผม....."คุณตา"


คงไม่ต้องมีบทสรุปสำหรับบทความนี้...ของน้องแพ้ท.. เพราะมันชัดเจนในทุกวลี  หากอ่านและคิดตามมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในองค์กร   โดยเฉพาะ...ธนาคารของเรา...........

ท่านรองวิระ รมยะรูป   ท่านคือปูชนียบุคคลแห่งอาณาจักร์บัวหลวงแห่งนี้...ดอกบัวดอกแรกที่ไม่มีวันโรย...ชั่วนิจนิรันดร์.......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น