บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เว้...เมืองประวัติศาสตร์



พระราชวังเว้
เราเดินทางมาถึงเว้ก็ประมาณช่วงบ่าย..เว้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ สถาปัตยกรรมเมืองนี้ คล้าย ๆ กับจีนก็เป็นเพราะก่อนที่เวียตนามจะเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส  ได้เป็นเมืองขึ้นของจีนมาก่อนนับพันปี จึงได้รับอิทธิพลจากจีนมามาก เมืองนี้แต่เดิมเคยปกครองโดยขุนนางเหวียนฉวาง  ภายหลังเกิดกบฏขึ้น  เหวียนฉวาง หรือที่คนไทยรู้จักในนาม องค์เชียงสือ ได้ลี้ภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 1 นานถึง 4 ปี จึงกลับไปปราบกบฏได้สำเร็จ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ยาลองขึ้นปกครองเมืองเว้  นับว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน ต่อมาได้มีการเปลี่ยนผลัดกันขึ้นสู่บัลลังค์กันหลายยุค  จนกระทั่งถึงกษัตริย์เบ๋าได๋  ตรงกับช่วงโงดินห์เดียมเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ บังคับให้สละพระราชบัลลังค์ จึงเป็นอันสิ้นสุดของราชวงศ์เหวียน และระบบกษัตริย์ในเวียตนามนับแต่นั้น



ที่พระราชวังเว้ จะมีคูน้ำล้อมรอบ สามารถมองเห็นผู้ที่จะเข้ามาได้ในระยะไกล หน้าพระราชวังจะมีป้ายประจำตำแหน่งของจอหงวน เวลาเข้าเฝ้าถวายรายงานราชการต่อกษัตริย์ 


ตำแหน่งที่ยืนของจอหงวน
ในพระราชวังจะมีจุดที่จะใช้สื่อสารในการป่าวร้องข่าวสารต่อประชาชน  โดยด้านขวามือจะมีกลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่  เมื่อจะประกาศข่าวดีต่อประชาชน จะตีกลอง  สังเกตุว่าในอดีตที่ผ่านมา น่าจะมีเรื่องดีมากกว่าเรื่องร้าย เพราะกลองถูกตีจนผนังเปื่อย



ส่วนด้านซ้ายจะมีระฆังขนาดใหญ่แขวนอยู่  เวลาต้องการป่าวร้องข่าวร้ายต่อประชาชน  ก็จะใช้การตีระฆัง ก็จะเป็นที่รู้กัน




นอกจากนี้ภายในพระราชวัง ยังมีตำหนักพระสนม และตำหนักอื่น ๆ อีกมากมายจนไม่สามารถดูได้ทั่วถึง  คณะเราเข้าชมพระราชวังกันพอประมาณ เพราะมีรายการที่น่าสนใจอื่นรออยู่  นั่นคือการช๊อปปิ่งที่ตลาดดองบาตลาดที่คึกคักที่สุดในเมืองเว้

ตลาดดองบา อยูไม่ไกลจากพระราชวังนัก  ที่นี่เป็นตลาดค้าขายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเว้ สินค้าพื้นเมืองและอื่น ๆ ทุกชนิดมีขายที่นี่  คนไทยนิยมไปช๊อปปื้ง สภาพโดยรวมของตลาดดองบา ดูไปแล้วไม่ต่างจากสำเพ็งเลยแม้แต่น้อย  ที่สำเพ็งเขาจะขายเป็นโหล แต่ที่ดองบาขายทุกรูปแบบ แม่ค้าที่นี่จะเรียกคนไทยว่าแม่  พอเดินเข้าไปปั๊บ ก็ได้ยินเสียงแทบจะทุกร้านเหมือน ๆ กัน คือ " แม่..ของถูด ถูด" นั่นคือเสียงของบรรดาแม่ค้าทั้งหลายที่จะชักชวนให้เราซื้อของถูก ถูก นั่นเอง  แต่แม่เจ้าประคุณบอกผ่านเสียเหลือขนาด  ไกด์แนะนำให้เราต่อมาก ๆ ขนาด  50-70 % ทีเดียว และก็ได้ผลจริง ๆ  สินค้าส่วนใหญ่จะมาจากจีน  คุณภาพไม่ดีนัก  การซื้อสินค้าที่นี่ สามารถใช้เงินบาทไทยได้สบาย ๆ แม่ค้าจะชอบ เราซื้อได้แค่เข็มขัด  หมวก และกระเป๋า  นิดหน่อยเท่านั้น ก็ต้องรีบออกมา เพราะคนแน่นจนแทบจะไม่ที่เดิน

โปรแกรมสุดท้ายของทัวร์ครั้งนี้คือวัดเทียนมู่  วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเฮือง คนไทยมักจะเรียกว่าแม่น้ำสายนี้ว่าแม่น้ำหอม


เจดีย์ 8 เหลี่ยม 7 ชั้นวัดเทียนมู่

หน้าวัดเทียนมู่คือแม่น้ำเฮือง

วัดนี้เป็นศุนย์กลางของพระพุทธศาสนานิกายเซ็น เจดีย์ทรงเก๋ง 7 ชั้นสื่อถึงชาติภพต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า  วัดนี้มีประวัติศาสตร์ที่คนเวียตนามต้องจดจำ ก็คือช่วงที่โงดินห์เดียมปกครองเวียตนามใต้ จะบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์เพื่อเอาใจอเมริกา  รวมถึงขัดขวางการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ  ทางศาสนาพุทธ เจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ขณะนั้นคือ ทิกกวางดุค ได้ต่อต้านคัดค้านเท่าใดก็ไม่เป็นผล  จึงตัดสินใจประท้วงโดยเผาตัวเอง ท่านขับรถออสสินสีฟ้าไปที่กลางเมืองไซ่ง่อนพร้อมกับบรรดาพระสงฆ์จำนวนมาก  และจุดไฟเผาตนเอง ในขณะที่พระสงฆ์เหล่านั้นนั่งทำสมาธิอย่างแน่วแน่  โดยไม่สนใจกับร่างที่กำลังถูกเผา   จนในที่สุดท่านเจ้าอาวาสก็เสียชีวิตที่ตรงนั้น


เผาตัวเองกลางเมืองไซ่ง่อน

เจ้าอาวาสทิกกวางหยุก

ข่าวการเผาตนเองของเจ้าอาวาส เพื่อประท้วงการขัดขวางการทำพิธีทางศาสนาพุทธ  และทำร้ายพุทธศาสนิกชนอย่างเหี้ยมโหด เป็นข่าวไปทั่วโลก จนรัฐบาลอเมริกันถูกชาวโลกประณาม  และในที่สุดนำมาสู่การลุกฮือของนายทหารระดับสูงของเวียตนามเองที่นับถือพุทธซึ่งทนไม่ไหวได้รวบรวมกำลังเพื่อขัดขวาง จนนำไปสู่การสังหารโงดินห์เดียมและครอบครัว


รถออสตินของท่านทิกกวางดุค

ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้า ยังถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดเทียนมู่   เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้คนเวียตนามได้รำลึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละของท่าน ทิกกวางดุค ในการอุทิศตนเพื่อรักษาพระพุทธศาสนาไว้

ชีวิตคนเวียตนามเหมือนคนมีกรรม  เวียนว่ายอยู่ในกระแสแห่งสงครามที่มหาอำนาจเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์กันไม่สิ้นสุดจึงเป็นผู้ถูกกระทำในทุก ๆ ด้าน  ตลอดเวลาที่นั่งรถชมเมืองเวียตนาม จะพบว่ามีสุสานอยู่เกลื่อนไปหมด แต่ละแห่งจะทาสีกันฉูดฉาดเหมือนจะแข่งกัน  เพราะเหตุที่คนเวียตนามประสพแต่เคราะห์กรรม  จึงมีความเชื่อว่า"ชีวิตในปัจจุบันเป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อตายไปแล้ว จะเป็นชีวิตนิรันดร์" แต่ละตระกูลจึงตกแต่งสุสานให้สวยงามเพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตนิรันดร์นั้น

ฉันเคยมองคนเวียตนามว่าเป็นคนขี้โกง  น่ากลัว น่ารังเกียจ  แต่เมื่อได้มีเวลาทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ของเขาแล้ว กลับเห็นว่า ควรแก่การเห็นใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง หากเราประสพชะตากรรมเยี่ยงเขา  ก็คงไม่พ้นที่จะมีพฤติกรรมเช่นเขาเพราะความที่ต้องเอาตัวรอด เขาจึงเป็นเช่นนั้น  ฉันอำลาเวียตนามด้วยความเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง........

ซินจาว (สวัสดี) เวียตนาม........................ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น