บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ย้อนนึกถึงครั้งที่แม่ป่วย..ด้วยโรคไต





          ความเจ็บป่วยของแม่ข้าพเจ้า แม้จะมีอาการเรื้อรังมาเป็นเวลานานนับสิบปีด้วยโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นโรคประจำตัว แต่ไม่เคยมีครั้งใดเลย ที่จะบ่งบอกถึงความรุนแรงจนน่าวิตก เท่าอาการที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่  30 ก.ค.37

 
          วันนั้นเป็นวันเสาร์ ประมาณบ่ายโมงเศษ หลังจากที่แม่ทานอาหารกลางวัน และยาหลังอาหารเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเอนตัวลงนอน ก็เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนออกมาจนหมด ใจสั่น ตัวสั่น เหนื่อย หอบ คอตก ตัวเย็นเฉียบ และหน้าซีดเผือด จนไม่สามารถทรงตัวเองอยู่ได้เพียงลำพัง  ต้องเข้าไปช่วยประคองและปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ จึงค่อยสามารถหายใจได้สดวกขึ้น  บ่ายวันนั้น ลูกหลานพาแม่ไปโรงพยาบาลกันอย่างทุลักทุเล  และกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาการที่เกิดขึ้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย จนยากที่จะคาดเดาว่าเป็นอาการของโรคใดกันแน่  จึงได้แต่ภาวนาให้พระคุ้มครองแม่ อย่าให้มีอันตรายใด ๆ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล


          ประมาณบ่าย 3 โมงก็ admit ได้เรียบร้อย หลังจากเจ้าหน้าที่มาเจาะเลือด แม่ก็นอนอ่อนระโหยด้วยหมดแรง บ่าย 4 โมงเศษพยาบาลมาขอฉีดยา พร้อมทั้งแจ้งผลเลือดให้ทราบว่า แม่เป็น "โรคไต" ค่าโปแตสเซี่ยมในเลือดขณะนั้นสูงถึง 8.7 อาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ รวมทั้งค่าครีเอตินิน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพในการทำงานของไต สูงเกิน 8 แสดงถึงภาวะที่ไตทำงานได้น้อยมาก  แพทย์ประจำของแม่ จึงสั่งให้ฉีดยาเพื่อขับโปแตสเซียมก่อนในเบื้องต้น

          พยาบาลมาฉีดยาตามคำสั่งแพทย์ได้เพียงไม่ถึงนาที  แม่ก็มีอาการหน้าเขียวเหมือนคนจะช็อค  แม่เล่าให้ฟังในภายหลังว่า ร่างกายมันร้อน วูบวาบไปทั้งตัว จนทนไม่ไหว  แต่กระนั้น แม่ก็ยังมีสติพอที่จะบอกให้พยาบาลรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ...ไม่ไหวแล้ว พี่น้อยและเป็กซึ่งเฝ้าอยู่ในช่วงนั้น จึงได้ขอให้พยาบาลเอาเข็มออก  พยาบาลต้องหยุดฉีดยาและเปลี่ยนเป็นให้ยาทานแทน  คืนนั้นทั้งคืนแม่ก็ถ่ายอุจจาระตลอด  วันรุ่งขึ้น ค่าโปแตสเซียมก็ลดลงเหลือ 4.7

          แพทย์เจ้าของไข้  ได้อธิบายผลวินิจฉัยเลือดให้ฟังว่า การทำงานของไตเหลืออยู่ประมาณ 10% เท่านั้น  ลักษณะอาการที่แม่เป็น  คือลักษณะอาการของไตวายเรื้อรังขั้นสุดท้าย

          พวกเรารับฟังคำชี้แจงด้วยความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง  แม้จะยอมรับโดยดุษฎีมาแต่แรกแล้วว่า สภาพร่างกายของแม่โดยทั่วไป เสื่อมลงตามอายุขัย  แต่อาการทางไต เป็นโรคใหม่ของแม่ ที่พวกเราลูกหลานไม่เคยทราบมาก่อน  คุณหมอได้ให้คำแนะนำต่อไป ถึงเรื่องการบำบัดรักษาว่า  หากไม่ฟอกเลือดล้างไต ก็จะต้องบำบัดด้วยยา ซึ่งจะช่วยยืดอายุของแม่ต่อไปได้อีกเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น

          คุณหมอขอให้ลูก ๆ เป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีรักษา  แต่ให้ข้อคิดไว้ว่า  แม่อายุ 85 ปี  นับว่าแก่มากแล้ว เสมือนคนที่เดินทางมายาวไกล  หนทางที่เหลือย่อมต้องแคบลง

          นับเป็นภาวะที่ยากยิ่งต่อการตัดสินใจที่จะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งโดยพลันได้  พวกเราทั้งหมดไม่ทันตั้งตัวและไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มาก่อน จึงเคว้งคว้างหาทิศทางไม่ถูก พี่น้องแต่ละคนต่างก็สอบถามข้อมูลจากผู้มีประสพการณ์อย่างชุลมุน  มีหลายคนทีเดียวให้คำแนะนำว่า แม่แก่ขนาดนี้ไม่ควรให้ฟอกเลือด

          ในวันรุ่งขึ้น พวกเราได้ขึ้นไปชั้น 9  ที่ห้องไตเทียม เพื่อขอดูของจริงและสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ล้างไต เป็นความบังเอิญที่มีคนไข้กำลังนอนให้ล้างไตอยู่ จึงพอจะได้รู้ถึงความรู้สึกและข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้พอสมควร  การประชุมพี่น้องในคืนนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า  จะไม่เลือกการฟอกเลือด จนกว่าจะเป็นหนทางสุดท้าย...ที่ไม่มีทางเลือกอื่น

          ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้กรุณาส่งแพทย์ทางไตมาให้คำแนะนำโดยละเอียดในวันต่อมา เป็นคำแนะนำที่หนักมากทีเดียวสำหรับพวกเราและเกินกว่าจะเตรียมใจได้ทันขณะนั้น  พวกเราตัดสินใจเลือกวิธีรักษาโดยใช้ยาบำบัด 

          หมอเริ่มฉีด Eprex ให้แม่ และให้ยาทานเพิ่มอีก 2 ชนิดคือ One alpha  และ Amiyu  นอกเหนือจากยาเดิมที่ยังคงต้องทานอยู่เป็นประจำ   แม่เริ่มดีขึ้นใน 2 วันต่อมา จนสามารถกลับบ้านได้ในวันที่ 6 สค.37  แต่จะต้องมาพบแพทย์ทุกวันเสาร์  เพื่อเช็คสภาพร่างกาย , เช็คเลือด  และฉีด Eprex   ระหว่างนี้เราต้องควบคุมอาหารของแม่  โดยอาศัยคู่มืออาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต ซึ่งซื้อมาจากมูลนิธิโรคไต  และต้องจัดอาหารแต่ละวันให้แม่ตามสูตร  เพื่อมิให้ร่างกายได้รับ โปแตสเซียม ,โปรตีน  สูงเกินไป จนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

          เหตุการณ์ผ่านมาด้วยดีนานเกือบ 3 เดือน อาการเช่นเดิมก็เริ่มปรากฏอีกครั้ง และในคราวนี้ ปรากฏมากกว่าเดิม  แม่เริ่มมีอาการซึม  อ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร  อาเจียนบ่อยครั้ง  ใจสั่น และตัวสั่นทุกครั้งที่เคลื่อนไหวร่างกาย  ไม่ว่าจะขยับร่างกายไปทางไหน ก็จะต้องกอดไว้นาน ๆ จึงจะหายสั่น  แม่มักจะบ่นโมโหในอาการสั่นของตัวเองอยู่เสมอ  เราเองรู้อยู่เต็มอกว่า เวลาของแม่คงใกล้เข้ามาแล้ว  ได้แต่ปลอบใจและให้เวลากับแม่มากขึ้น  เพื่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น และมีกำลังใจที่จะต้อสู้กับโรคร้าย   ทุกๆคืน เมื่อนำแม่เข้าห้องนอน  จะต้องคอยบีบนวดตามแขน ขา มือ เท้า ก่อนจะห่มผ้าและทา Mentholatum ที่จมูก  แม่จะสูดลึกด้วยความรู้สึกสดชื่น  ก่อนที่จะนอนหลับไป

          เช้าวันที่ 15 ต.ค.37 ลูกหลานพาแม่ไปโรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนระโหย โดยแท้จริงแล้วเป็นการไปพบแพทย์ทุกวันเสาร์ เพื่อเช็คสภาพร่างกายและฉีดยาตามปกติเท่านั้นเอง  ไม่มีใครสังหรณ์ใจเลยว่า  การจากบ้านของแม่ในวันนี้  จะเป็นการจากไป....ชั่วชีวิต

          แพทย์เจ้าของไข้ วัดความดันโลหิตได้  220/100 จึงขอให้ Admit  ทันที และให้ความเห็นว่าสภาพอาการของแม่  จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ทางไตแล้ว  ในเย็นวันนั้น พวกเราได้พบกับหมอไตอีกครั้ง และต้องย้อนกลับไปใคร่ครวญคำแนะนำของหมอในครั้งก่อน  เพราะสภาพอาการของแม่เป็นที่น่าวิตกมาก  ตาลอย  และเบื่ออาหารไปหมด  แม่ทานได้เพียงน้ำข้าวต้มเมื้อละ 2 ช้อนเท่านั้นถึง 4 มื้อติดกัน  ผลการเช็คเลือดและตรวจปัสสาวะใน 24 ชั่วโมงพบว่า  ไตทำงานไม่ถึง 5%  และอยู่ในภาวะที่จะต้องช่วยชีวิตด้วยการฟอกเลือด 

          เราจำเป็นต้องตัดสินใจ เลือกวิธีการฟอกเลือดด้วยความรู้สึกที่กล้ำกลืนยิ่ง....เพราะรู้ว่า...นี่คือทางเลือกสุดท้าย ....และวาระสุดท้าย..คงอยู่ไม่ห่างไกลนัก

          คืนนั้นแม่เริ่มมีอาการใหม่เกิดขึ้นคือ  อาการคันตามตัวอย่างมาก  เกาเท่าไรก็ไม่หาย  จนต้องใช้ผ้าเย็นเช็ดตามตัว  แล้วทาด้วยวิตามินอี และต้องเกาเบาๆให้ตลอดเวลา  จนกระทั่งหลับไปประมาณ 00.10 น. พยาบาลได้เข้ามากำชับในเรื่องการงดน้ำ งดอาหาร  เพื่อเตรียมตัวผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น  สัญญาณชีพขณะนั้น ยังคงอยู่ในระดับปกติ คือ ความดันโลหิต 130/90    อุณหภูมิร่างกาย 36.5     ชีพจร 84 ครั้ง/นาที   หายใจ 15 ครั้ง/นาที 

          ประมาณ 7.30 น.ของวันที่ 18 ต.ค.37  รถเปลมารับไปห้องผ่าตัด เพื่อเตรียมเส้นเลือดสำหรับการล้างไตโดยใช้เข็มแทงเข้าเส้นเลือดบริเวณใต้ไหปลาร้า  ปลายเข็มมีท่อพลาสติก 2 แฉกสวมอยู่  สำหรับนำเลือดเข้าทางหนึ่ง และออกอีกทางหนึ่ง  การล้างไตเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 13.45 น. ของวันเดียวกัน ขณะเริ่มเปิดเครื่องล้างไต  สัญญาณชีพยังคงอยู่ในระดับปกติ  ความโลหิต 150/80  ชีพจร  86  เริ่มเปิดเครื่องให้น้ำยาปล่อยเข้าช้า ๆ  Blood flow  ต่ำสุดเพียง 150    วัดความดันโลหิตทุก  5 นาที  ยังคงอยู่ในระดับเดิม  ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกถึงความผิดปกติเลย จนกระทั่งนาทีที่ 15  โดยประมาณ ขณะนั้นปล่อยน้ำยาเข้าไปได้ประมาณ 500 cc  เริ่มฟอกเลือดได้บ้างเล็กน้อย  แม่บ่นปวดปัสสาวะ  เจ้าหน้าที่นำกระโถนมาให้  แม่ปัสสาวะออกมามากเกินปกติ  ทันทีที่เสร็จ  ดวงตาทั้ง 2 ข้างก็เริ่มกระพริบติด ๆ กัน 4-5 ครั้ง  แขนขาและร่างกายกระตุก  หน้าซีดเผือด  ตัวเย็นเฉียบ และช็อคแน่นิ่งไปในที่สุด  หัวใจหยุดเต้นแล้ว !

          พยาบาลได้เข้ามารุมล้อมช่วยชีวิตกันอย่างรีบเร่ง  หลังจากวัดความดันโลหิตไม่ได้ และจับชีพจรไม่พบ  ดึงหมอนออกเพื่อให้นอนราบ  ปิดเครื่องล้างไต  ใช้ฝ่ามือฟาดเต็มแรงที่ตำแหน่งของหัวใจ และปั๊มหัวใจต่อเนื่องกันหลายครั้ง  เอามือล้วงคอ และสอดท่อพลาสติกไว้  เพื่อให้อ๊อกซิเจนทางปาก  ประมาณ 2-3 นาทีผ่านไป  หัวใจจึงเริ่มเต้น  พยาบาลส่งเสียงเรียกแม่เป็นระยะ ๆ  คุณยาย....คุณยาย...คุณยาย...

          เริ่มมีเสียงตอบรับเบา ๆ ในลำคอ  ประมาณ 1 นาทีหลังจากนั้น   แม่ก็อาเจียนออกมาจนหมด  ตัวเริ่มอุ่น  หน้าเริ่มมีสีเลือด และอาการโดยทั่วไป ค่อยๆ ดีขึ้น......

          นับเป็นการตายแล้วเกิดใหม่โดยแท้จริง  ฝ่ามือที่ฟาดตรงหัวใจ น่าจะชื่อฝ่ามืออรหันต์พิชิตมัจจุราช  หลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกใจ แม่ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  และตื่นขึ้นมาในคืนนั้นด้วยความรู้สึกที่อ่อนระโหย  บ่นเจ็บคอ และไม่ยอมทานอะไรเลย   ตุ๊ก..ลูกชายแม่  ป้อนโอวัลตินให้ประมาณ 2-3 คำ แม่ก็หลับไปอีกอย่างหมดแรง  แต่แม้กระนั้น เมื่อลูก ๆ จะกลับบ้าน แม่ก็ยังมีแก่ใจที่จะฝืนลืมตา  เพื่ออวยพรให้ทุกคนโชคดี

          ความล้มเหลวในการล้างไตด้วยเครื่อง  ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธี  มาเป็นใช้น้ำยาล้างทางช่องท้องแทน ประมาณ 16.15 น.ของวันที่ 20 ต.ค.37  ลูกหลานต้องส่งแม่เข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเตรียมใส่ท่อในช่องท้องสำหรับเปลี่ยนถ่ายน้ำยา  ครั้งนี้แม่อยู่ในห้องผ่าตัดนานเกือบ 2 ชั่วโมง  ทราบภายหลังว่า แม่ต่อต้านจนหมอต้องให้ยาสลบ และเกิดความดันตกไปชั่วขณะ  หมอจึงต้องดูแลใกล้ชิด จนกว่าจะพ้นขีดอันตราย  อย่างไรก็ตาม ประมาณ 4 ทุ่มของคืนนั้น แม่ก็ได้กลับมานอนพักที่ห้อง   และเป็นคืนแรกที่แม่นอนหลับได้สนิทลึกและยาวนาน  ตืนขึ้นมา 6.00 น.ของวันรุ่งขึ้นด้วยสภาพที่สดชื่น และดูเหมือนจะมีกำลังขึ้นเล็กน้อย  แม่บ่นว่าเจ็บแผล  จึงได้แต่ปลอบโยนและให้กำลังใจ  พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้แม่ฟัง   แม่รับฟังด้วยความสนใจ  ยิ้มและพูดว่า แม่ไม่ได้กลัวเลย..นี่คือความเข้มแข็งและเป็นคนที่มีใจสู้ของแม่

          เมื่อต้องเลือกวิธีการรักษาด้วยการใช้น้ำยาล้างทางช่องท้อง  แพทย์จึงให้พยาบาล มาสาธิตวิธีการล้างไตด้วยน้ำยาทางช่องท้องให้ดู  เพราะในระยะยาว ต้องเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้ เมื่อกลับไปอยู่บ้าน  การล้างช่องท้องในครั้งแรก ก็ปรากฏว่าประสพปัญหาอันเนื่องจากท่อลอยสูงมากจนไม่สามารถดึงน้ำออกจากร่างกายได้  แม้จะพลิกตัวไปมาหลายครั้งก็ตาม  แต่คณะแพทย์ก็สามารถแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้จนลุล่วง   และการล้างไตหลังจากนั้นต่อๆ มาค่อนข้างดำเนินไปด้วยดี   ทุก ๆ  รอบการเปลี่ยนถ่ายน้ำยา  สามารถดึงน้ำออกจากร่างกายได้มาก  และสภาพน้ำที่ออกจากร่างกายมีสีเหลืองใส  เป็นที่พอใจของแพทย์ผู้รักษา ปัญหาหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ กลับเป็นอาการติดเชื้อซึ่งส่งผลให้แม่ต้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา

          เมื่อเริ่มติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งแต่ 30 ต.ค.37 อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากพิษไข้ สัญญาณชีพเริ่มแปรปรวน ความดันสูงบ้าง ต่ำบ้าง  การหายใจไม่คงที่  และเริ่มมีอาการกระตุกขึ้นเป็นระยะ ๆ  จนเกือบจะกลายเป็นชัก  หมอต้องให้ยากันชัก , ยาควบคุมความดัน และย่าฆ่าเชื้อ ตามลำดับ ประมาณ 4-5 วันต่อมา อาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จึงเริ่มดีขึ้น สีปัสสาวะที่ขุ่น เริ่มใสขึ้นตามลำดับ   อาการหนักกลับเปลี่ยนไปอยู่ที่ระบบทางเดินหายใจแทน และพบว่าแม่ติดเชื้อตัวที่แรงที่สุดและดื้อยาเก่งที่สุด  สัญญาณชีพเริ่มแปรปรวนอีกครั้ง  จนเป็นที่น่าวิตก โดยเฉพาะการหายใจมีลักษณะของการหอบ

          เจ้าหน้าที่หลายท่านของสมาคม YMCA  ได้กรุณามาให้กำลังใจแม่หลายครั้ง โดยเฉพาะครูยุวดี,ครูศรีทัย , คุณแมรี่  ได้ช่วยกันอธิษฐานอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ให้ทรงปัดเป่าโรคร้ายและสถิตย์อยู่ในหัวใจของคณะแพทย์ผู้รักษาให้ได้ทุ่มเทสรรพกำลังรักษาแม่ให้รอดพ้น  เราเชื่อมั่นในแรงอธิษฐานของท่านเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมากจากคณะแพทย์พยาบาลผู้ดูแล  แม้สภาพอาการของแม่จะทรงๆ ทรุดๆ  และยาฆ่าเชื้อหลายชนิดถูกระดมเปลี่ยนกันใช้อย่างต่อเนื่อง

          และในเช้าวันที่ 17 ธ.ค.37 ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้น แม่ตื่นขึ้นมาประมาณ 6.00 น. ด้วยความรู้สึกตัวที่ค่อนข้างดี เนื่องจากหลับลึก ยาวนานไปหลายวัน เพราะผลกระทบทางสมองจากยาต่าง ๆ  แม่ลืมตาตื่น และเลิกคิ้วมองโน่นนั่นนี่  เมื่อจับมือแม่ แม่จะบีบมือตอบ เป็นเช่นนี้ตลอดวันและหลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ  แม่เหลียวมองรอบ ๆ ห้อง อ่านโน่นอ่านนี่  เมื่อคุณหมอเข้ามาตรวจ ถามว่าจำหมอได้หรือไม่  แม่พยักหน้าตอบรับ  ปรากฏการณ์เช่นนี้ สร้างความดีใจให้กับลูกหลานเหลือประมาณ พวกเราต่างก็ส่งข่าวถึงกันด้วยความลิงโลดใจ

          แต่สิ่งที่แน่นอนในโลกนี้  คือความไม่แน่นอน ในอีก 4-5 วันต่อมา อาการของแม่ก็เริ่มทรุดหนัก ความดันตกเป็นช่วง ๆ การหายใจเป็นลักษณะหอบ จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งเพิ่มปริมาณยาควบคุมความดัน ถึงเกือบ 40 drop/นาที  มีอาการกระตุก  ชัก ตามมาในลักษณะของอาการโรคไต

          ร่างกายแม่อ่อนล้าเต็มที เหมือนรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน  แม้จะช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร ก็ไม่อาจพ้นสภาพของไม้ใกล้ฝั่งไปได้  มือ-เท้าของแม่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ  ความดันโลหิตไต่ระดับต่ำลงทุกขณะ จนบางคราววัดได้เพียง 40/30 เท่านั้น  และแผ่วเบาจนเกือบจะไม่สามารถฟังได้ยิน  ลมหายใจแผ่วลง..........แผ่วลง.............แผ่วลง.....  

          คืนวันที่ 6 ม.ค.38  จึงเป็นคืนสุดท้าย ที่ลูกๆ หลานๆ ทุกคนได้อยู่ใกล้แม่กันพร้อมหน้าเกือบ 30 คน จนแน่นห้อง 902 ของตึกสิรินธร   แม่อยู่ในอาการสงบนิ่ง..เหมือนกับพร้อมที่จะลาจาก พี่เล็กได้นำบทสวดมนต์มาสวดให้แม่ฟังตั้งแต่หัวค่ำจนมืดดึก....ด้วยหวังว่าจะให้เป็นเสียงแว่ว..แว่วในสำนึกสุดท้ายของแม่.....

          แม่และลูก...คงต้องลาจากกันตรงนี้แล้ว....

                                                นอนหายใจรวยริน..ใกล้สิ้นแล้ว
                                                ลมหายใจแผ่ว..แผ่ว ..ใกล้ดับสูญ
                                                ชีวิตช่วงสุดท้าย..ใกล้อาดูร
                                                รอเวลา..สิ้นสูญ..ทุกนาที

                                                ชีวิตแม่เหนื่อยล้า..มามากนัก
                                                ถึงคราคราวหยุดพัก..อย่างเต็มที่
                                                นอนเสียเถิด..หลับสนิท..ชั่วชีวี
                                                นับตั้งแต่นาทีนี้..จนนิรันดร์

                                                โอ้โอ๋..กุศล...ผลบุญ
                                                ช่วยเกื้อหนุน..นำทาง..สู่สวรรค์
                                                คุณความดี..ที่แม่สร้างไว้นานวัน
                                                จงผสานเป็นประทีป..นำชีพไป

                                                ลูกทุกคน..อาลัย..ใจจะขาด
                                                แต่ไม่อาจหักใจ..ฝืนไว้ได้
                                                สัจจธรรมทุกคน..ไม่พ้นตาย
                                                สิ่งที่แม่เหลือไว้..คือ..ความดี

                                                ลาแล้ว...........ลาลับ
                                                ชีพใกล้ล่วงดับ..เต็มที่
                                                สุขสงบ..นานเนาว์..ชั่วชีวี
                                                นับตั้งแต่นาทีนี้..จนนิรันดร์..


ลูกหลาน  ได้ลาแม่ในตี 2 ของคืนนั้น........
........................และในเวลาตี 5 แม่ก็อำลาไปจากทุก ๆ คน.........
.............................................หายใจแผ่วสุดท้าย เมื่อ 05.10 น.....
...................................................................แม่จากไปแล้ว........ อย่างสงบ
.......................................................................................ดวงวิญญาณล่องลอยสู่สรวงสวรรค์.




    

    
    



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น