เราเดินทางเข้าประเทศฝรั่งเศสทางรถยนต์ การเดินทางข้ามประเทศไม่ยุ่งยากสำหรับประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปซึ่งมีการค้าเสรีและมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ออกจากสวิสเซอร์แลนด์ก็ตรงเข้าเมืองแรกที่ดิจอง เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ผู้คนน้อย จึงทำให้ดูว่าเป็นเมืองที่มีระเบียบ ถนนหนทางสอาดสอ้าน แต่มีขนาดเล็กเพียง 2 เลน รถยนต์ที่เราเห็น จะเป็นรถขนาดเล็กๆ เหมือนรถกระป๋องเป็นส่วนใหญ่ รถขนาดใหญ่พบเห็นน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะพวกเขาประหยัดกัน หรือมิฉะนั้นก็อาจะเป็นเพราะสาธารณูปโภคด้านคมนาคมของเขามีความสดวกสบายก็เป็นได้
เมืองดิจองเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ที่ลือชื่อ ในฝรั่งเศสมีหลายเมืองที่โด่งดังด้านผลิตไวน์ โดยเฉพาะเมืองเบอร์โดที่น้องต้น ณัฎฐนศักดิ์ จันทร์พฤกษ์ไปร่ำเรียนอยู่ บอกว่าหลังมหาวิทยาลัยเป็นไร่องุ่นขนาดใหญ่มาก คนฝรั่งเศสนิยมดื่มไวน์ จึงมีพื้นที่หลายเขตที่ใช้เป็นแหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์ รายได้จากการส่งออกไวน์ของฝรั่งเศสแต่ละปี มีไม่น้อยทีเดียว
พอเข้ามาอยู่ในฝรั่งเศส อากาศปรับสูงขึ้นเป็นเย็นสบายๆ ไม่หนาวเหมือนในสวิส ทำให้เราเพลิดเพลินกับการเดินชมโน่นนั่นนี่แบบชิวๆ เรามีโอกาสได้ทานอาหารที่ร้านเก่าแก่ของเมืองนี้ รสชาติแบบอาหารฝรั่งในเมืองไทยเลย เราจึงทานได้สบายๆ
ร้านนี้เป็นธุรกิจครอบครัว ทำกันเองเสริฟกันเองของเจ้าของกิจการวัยน่าจะเกิน 60 ปี อาหารจึงค่อนข้างช้า ก่อนออกจากร้าน เจ้าของได้เข้ามาขอโทษถึงความล่าช้า แต่เขาก็มีความตั้งใจที่จะทำให้อร่อยที่สุด แววตาของเขาเป็นมิตรไมตรีมาก ไหนเลยที่คนไทยจะโกรธเคืองเขาได้ พอทานเสร็จผู้ให้บริการและผู้รับบริการต่างก็ขอบคุณซึ่งกันและกันอย่างอบอุ่น
โปรแกรมต่อไปของคณะทัวร์เราคือเข้าเมืองปารีส เมืองที่ขึ้นชื่อลือนามของความอารยะทั้งปวง พอเริ่มเข้าเขตปารีส พวกเราก็เริ่มได้รับการตักเตือนอย่างเข้มข้นจากไกด์ว่าให้ระวังพวกมิจฉาชีพซึ่งจะมาในหลากหลายรูปแบบ กระเป๋าสตางค์ขอให้สพายไว้ด้านหน้า และให้ระมัดระวังขั้นสูงสุด เพราะของสำคัญไม่ว่าจะเป็นเงินหรือพาสปอร์ต หากสูญหายย่อมทำความยุ่งยากเดือดร้อนให้แก่ไกด์แน่นอน
รถบัสพาพวกเรามาส่งแถวไชน่าทาวน์ ทันทีที่ลงจากรถก็เห็นจริงตามคำเตือนของไกด์ คุณมืดทั้งหลายมองพวกเราอย่างหมายหัว ช่างน่ากลัวนัก มันคงเป็นสัจจธรรมที่ว่าทุกแห่งบนโลกนี้จะมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรา หรือยุโรปที่ถือตัวว่ามีอารยธรรมสูงส่งแล้ว ความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่มีอยู่ในทุกสังคมก็คือปัญหาของสังคม ถ้าสังคมไหนมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นมาก ปัญหาสังคมก็จะมีมากตามไปด้วย ประเทศฝรั่งเศส คนดำมีอยู่เกลื่อนเมือง มุมมืดในกรุงปารีส ก็มีอยู่หลายแห่ง รวมทั้งหญิงบริการที่ยืนอยู่อย่างลับๆล่อๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความงามของฝรั่งเศสลดลงไปอย่างมากทีเดียว พวกเราทุกคนก็ได้แต่ระมัดระวังตัวกันเต็มที่ มือจะจับกระเป๋าไว้แน่นทุกคน
ประเทศฝรั่งเศสในอดีตเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ขยายดินแดนได้มากมาย กษัตริย์ผู้เก่งกาจเกรียงไกรในการรบก็คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งล่าอาณานิคมไว้ได้มากที่สุด ทำให้ฝรั่งเศสในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้สร้างพระราชวังแวร์ซายด์ที่ยิ่งใหญ่ จนได้รับการยกย่องจาก ยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกที่สำคัญ อันที่จริงพระราชวังแวร์ซายด์นี้ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ซึ่งเป็นนักล่าสัตว์ เมืองแวร์ซายด์ขณะนั้นยังเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีความเจริญ แต่เหมาะแก่การล่าสัตว์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ได้โปรดให้สร้างตำหนักเล็กๆขึ้น เพื่อเป็นที่พักชั่วคราวขณะออกล่าสัตว์ จวบจนเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ ความเกรียงไกรในยุคของพระองค์ ทำให้พระองค์ต้องการจะสร้างศูนย์รวมอำนาจในการปกครองที่ยิ่งใหญ่ และเล็งเห็นว่าตำหนักแวร์ซายด์มีความเหมาะสม จึงทุ่มเงินจำนวนมหาศาล สร้างวังขนาดใหญ่ ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จ พระราชวังแวร์ซายด์จึงเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการเที่ยวชมของคณะทัวร์เรา
พระราชวังแวร์ซายด์นี้ สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในกว้างขวางอลังการมาก มีห้องจำนวนหลายห้อง สำหรับใช้ในภาระกิจต่าง ๆ ตั้งแต่บรรทม เสวยอาหาร เสวยสุข และว่าราชการงานเมือง รวมทั้งภาระกิจอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละห้องประดับด้วยภาพประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ จิตรกรรมฝาผนัง รูปปั้น รูปแกะสลัก เครื่องเรือน และมีศิลปกรรมที่มีความงดงามและมีค่ามากมาย
ในบรรดาห้องเหล่านี้มีอยู่ห้องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย นั่นคือห้องที่มีชื่อว่า"ห้องกระจก" ซึ่งมีความยาวถึง 73 เมตร ห้องนี้เป็นห้องที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูตของแผ่นดินสยามในสมัยพระนารายณ์มหาราชเคยเข้าเฝ้าถวายสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ภาพจาก wikipedia |
ภาพจาก wikipedia |
การเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของโกษาปานในครั้งนั้นเป็นที่ฮือฮามากในฝรั่งเศสซึ่งมองว่าชาวสยามเป็นคนดงคนป่าอยู่ห่างไกลวัฒนธรรมแต่กลับได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บรรดาสำนักพิมพ์ต่างๆ จึงมีการทำข่าวสารตีพิมพ์กันออกมามากมายหลังจากที่โกษาปานเดินทางกลับไม่นานนัก เรื่องของโกษาปานไปฝรั่งเศสนี้ข้าพเจ้าได้เคยอ่านหนังสือของโรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งท่านเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ชาวฝรั่งเศส อดีตอธิการโรงเรียนอัสสัมชัญ ได้รับความไว้วางใจจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเวลานั้นทรงดำรงตำแหน่งราชบัณฑิตยสภา ให้เป็นผู้แปลความเรียบเรียงเก็บไว้ ใช้ชื่อเรื่องว่า "โกษาปานไปฝรั่งเศส ค.ศ.1686" ทำให้ได้ทราบว่าโกษาปานเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อย่างมากในเรื่องของความเฉลียวฉลาดหลักแหลมปฏิพานไหวพริบดีและมีความละเอียดละออ การเข้าเฝ้าในครั้งนั้นจึงถือว่าเป็นความสำเร็จทางการฑูตครั้งสำคัญของชาวสยาม
พระราชวังแวร์ซายด์มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ แต่การเข้าชมในแต่ละวันมากไปด้วยผู้คนทั้งชาวฝรั่งเศสเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเดินเข้าไปอย่างเบียดเสียดทำให้การเข้าชมไม่ได้อรรถรสสักเท่าใดนัก
การเที่ยวปารีสที่ขาดไม่ได้อีกแห่งหนึ่งก็คือหอไอเฟล ซึ่งเป็นหอคอยที่ทำจากโครงสร้างเหล็กที่สูงมากถึง 319 เมตร เป็นสัญญลักษณ์ของฝรั่งเศส และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลก
หอไอเฟลตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำแซน การนั่งเรือล่องแม้น้ำแซน ทำให้ได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามของหอไอเฟล และบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำแซนที่สวยงามมาก ๆ
และอีกแห่งหนึ่งก็คือประตูชัยซึ่งถือเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของปารีส ที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดีวีรชนทหารกล้าของฝรั่งเศสที่ได้เข้าร่วมรบเพื่อประเทศชาติ ตั้งอยู่กลางจตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ประเทศฝรั่งเศสแม้จะเป็นมหาอำนาจที่เกรียงไกร แต่ก็สูญเสียทหารหาญไปจำนวนไม่น้อย ที่นี่จึงเป็นที่อยู่สุดท้ายของเหล่าทหารนิรนามทั้งหลาย
การได้มาเที่ยวชมที่ประตูชัยแห่งนี้ ทำให้ย้อนนึกไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของไทยเรา การสงครามนำมาซึ่งความสูญเสีย ไม่ว่าแผ่นดินไหนก็คงไม่แตกต่างกัน แต่อธิปไตยของชาติถือเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณประเทศฝรั่งเศสที่ให้ความสวยงามและอรรถรสที่หลากหลายทั้งด้านมืดและสว่าง.........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น